วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แด่เธอ...ผู้รู้สึกตัว 1


แด่เธอ...ผู้รู้สึกตัว

แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย
ชาร์ลส์  ทาบัคสนิค
ทวีวัฒน์  ปุณฑริกวิวัฒน์

แปลกลับเป็นไทยโดย
ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์

















คำปรารภ
ในการจัดพิมพ์ครั้งที่ ๑๓

            คณะผู้จัดพิมพ์หนังสือได้รับประโยชน์จากการศึกษาธรรมะตามคำแนะนำสั่งสอนของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  จึงได้มีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะจัดพิมพ์หนังสือ  แด่เธอ...ผู้รู้สึกตัว  ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งเพื่อช่วยกันเผยแผ่ธรรมะคำสั่งสอนของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  อันเปรียบเหมือนกุญแจที่ไขพุทธธรรม  นำชีวิตสู่ความสงบเย็นได้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

            หนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นใหม่นี้  พิมพ์ตามต้นฉบับเดิม  ซึ่งพิมพ์ขึ้นตั้งแต่สมัยหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  ยังมีชีวิตอยู่  มิได้ดัดแปลงแก้ไขข้อความใดๆ ทั้งสิ้น  มีเพียงแก้ไขคำสะกดผิดที่พบเห็นได้อยู่บ้างเท่านั้น  นอกจากนี้ยังได้เพิ่มเติมส่วนคำนำของท่าน อ.โกวิท  เขมานันทะ.นพ.ประเวศ  วะสี  และอารมณ์ของการปฏิบัติที่เป็นลายมือและคำพูดของหลวงพ่อเทียน  ทั้งนี้เพื่อคงคำสอนของท่านไว้ให้นานที่สุดและแพร่หลายสืบต่อไป

            คณะผู้จัดพิมพ์หนังสือขอขอบคุณมูลนิธิหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ (พันธ์  อินทผิว)  ที่ได้กรุณาอนุญาตให้จัดพิมพ์หนังสือนี้ได้  รวมทั้งญาติธรรมทุกท่านที่สนับสนุนให้การจัดพิมพ์หนังสือนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีมา ณ ที่นี้

                                                                                                คณะญาติธรรม
                                                                                    ผู้ประสานงานการจัดพิมพ์




คำปรารภ
ในการจัดพิมพ์ครั้งที่ ๙

            คณะผู้จัดพิมพ์หนังสือได้รับประโยชน์จากการศึกษาธรรมะตามคำแนะนำสั่งสอนของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  จึงได้มีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะจัดพิมพ์หนังสือ  แด่เธอ...ผู้รู้สึกตัว  ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง  เพื่อช่วยกันเผยแผ่ธรรมะคำสั่งสอนของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  อันเปรียบเหมือนกุญแจที่ไขพุทธธรรม  นำชีวิตสู่ความสงบเย็นได้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

            หนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นใหม่นี้  พิมพ์ตามต้นฉบับดั้งเดิม  ซึ่งพิมพ์ขึ้นตั้งแต่สมัยหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  ยังมีชีวิตอยู่  มิได้ดัดแปลงแก้ไขข้อความใดๆ ทั้งสิ้น  มีเพียงแก้ไขคำสะกดผิดที่พบเห็นได้อยู่บ้างเท่านั้น  นอกจากนี้ยังได้เพิ่มเติมส่วนคำนำของท่าน อ.โกวิท  เขมานันทะ.นพ.ประเวศ  วะสี  และอารมณ์การปฏิบัติที่เป็นลายมือและคำพูดของหลวงพ่อเทียน  ทั้งนี้เพื่อคงคำสอนของท่านไว้ให้นานที่สุดและแพร่หลายสืบต่อไป

            คณะผู้จัดพิมพ์หนังสือขอขอบคุณมูลนิธิหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  (พันธ์  อินทผิว)  ที่ได้กรุณาอนุญาตให้จัดพิมพ์หนังสือนี้ได้  รวมทั้งญาติธรรมทุกท่านที่สนับสนุนให้การจัดพิมพ์หนังสือนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีมา ณ ที่นี้

                                                                                                ..กำพล พันธ์ชนะ
                                                                                                 โชคชัย  เกษชุมพล
                                                                                          ผู้ประสานงานการจัดพิมพ์


            ลุวันขึ้น ๑๒ ค่ำ  เดือน ๘  พุทธศักราช ๒๕๐๐  พระสัจจธรรมอันลึกซึ้งได้ปรากฎแก่อุบาสก พันธ์  อินทผิว ภายในคืนเดียว  โดยไม่มีครู  ปราศจากพิธีรีตองต่างๆ  ดังเช่นที่เคยปรากฎกับพระพุทธองค์  นับตั้งแต่นั้นมา  พันธ์  อินทผิว ได้อนุเคราะห์ผู้คนด้วยกลวิธีอันท่านเรียกว่า อึดใจเดียว  โดยไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ  สัญชาติ  เพศ  วัย  ความรู้  จนถึงบัดนี้  นับเป็นเวลากว่า ๒๐ ปีแล้ว  ภายใต้นามของ หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ

                                                                                          เขมานันทะ
                                                                                    มกราคม พ.๒๕๒๖
















คำนำ
โดยหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ

            หนังสือเล่มนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวอักษร  แต่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่ตัวเราเอง  ผลที่ได้รับเราเองเป็นผู้ได้รับ  ดังนั้นวิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ตรงที่สุดและง่ายที่สุด  เป็นการเฝ้าดูจิตใจขณะเมื่อมันคิด  รู้ถึงความลวงหลอกในชั่วขณะที่เป็นจริง  และแก้ไขมันที่นั่น  มิใช่ว่าเมื่อรู้แล้วเราเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ความคิด  เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นความหลง  (ความโกรธและความโลภด้วย)  เมื่อเราสามารถตัดที่นี่  สติ  สมาธิ  ปัญญา  ก็จะสมบูรณ์ในชั่วขณะนั้น

            นักปฏิบัติผู้ซึ่งได้เคยปฏิบัติทั้งที่เป็นคนไทยและมิใช่คนไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวสิงคโปร์  ได้มอบเงินบริจาคเพื่อการพิมพ์หนังสือเล่มนี้  (ฉบับภาษาอังกฤษ  ส่วนฉบับภาษาไทย  คนไทยเป็นผู้บริจาค)  เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ยังไม่เคยทดลองปฏิบัติมาก่อน  การปฏิบัติที่ได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งจนมิอาจตีราคา  ดุจดังชีวิตของมนุษย์ที่ไม่มีราคาและซื้อขายไม่ได้

                                                                                    หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ
                                                                                      ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗







คำนำ
โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ  วะสี

แด่เธอ  ผู้รู้สึกตัว”  เล่มนี้แปลมาจาก  “To one that feels”  อันเป็นธรรมเทศนาของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  ซึ่งแสดงที่ประเทศสิงคโปร์  อันที่จริงท่านแสดงเป็นภาษาไทย  ลูกศิษย์แปลเป็นภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างประเทศ  แล้วก็มีลูกศิษย์แปลจากอังกฤษเป็นไทยอีกทีหนึ่ง

            ฉะนั้นสำนวนภาษาในเล่มนี้อาจจะไม่เหมือนเมื่อฟังท่านเทศน์เองไปทั้งหมด  เพราะผ่านการถ่ายทอดสองต่อ  ในหนังสือนี้แม้จะแบ่งเป็น ๗ บท  หรือ ๗ ตอน  และมีชื่อตอนต่างๆ  ที่จริงมีเรื่องเดียว  คือเรื่องการเจริญสติแนวปฏิบัติ  ชื่อตอนตั้งแต่ ๑ ถึง ๗  เป็นการตั้งโดยลูกศิษย์ให้ดูแปลกหรือทำไปตามธรรมเนียมปฏิบัติเท่านั้น  ท่านที่คุ้นเคยกับการอ่านหนังสือภาคทฤษฎี  อาจรู้สึกหงุดหงิดที่ตอนต่างๆ  ไม่ได้เชื่อมโยงต่อเนื่องเพื่อจะพาท่านไปรู้เนื้อหาทางทฤษฎีเพิ่มขึ้นๆ  แต่กลับซ้ำๆ อยู่ในเรื่องเดิม  ทั้งนี้เพราะแต่ละตอนเป็นธรรมเทศนาแต่ละครั้ง  และย้ำอยู่เรื่องเดิมคือการเจริญสติ

            ความอัศจรรย์เกี่ยวกับหลวงพ่อเทียนและคำสอนของท่านก็คือ  ท่านเป็นชาวบ้านธรรมดา  ไม่ได้ร่ำเรียนทฤษฎีอะไรมาก  แต่เมื่อค้นพบเคล็ดลับในการปฏิบัติ  ทำให้ท่านพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส  และได้นำเทคนิคในการปฏิบัติที่ท่านใช้มาสั่งสอนผู้อื่น

            อาจกล่าวได้ว่าท่านสอนอยู่เรื่องเดียวคือเรื่อง  “รู้”  เพื่อไล่ความ “ไม่รู้ ออกไป  รู้ในที่นี้หมายถึง  รู้การ  รู้ใจ  หรือรู้ความคิด  ท่านสอนกี่ครั้งๆ  ท่านก็สอนในเรื่องนี้เรื่องเดียว  ท่านว่าเป็นวิธีง่ายๆ  (และอาจจะสนุกๆ ด้วย)  แต่ตรงไปแก้ปัญหาทั้งหลายทั้งปวง

            คำสอนศาสนาต่างๆ มีมากมาย  เป็นของเดิมแท้บ้าง  มีผู้เพิ่มเติมเข้าไปบ้าง  อย่างในทางพุทธว่ามีคำสอนมากมายถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  ยากที่ใครจะศึกษาได้หมด  หรือเข้าใจได้หมด  หลวงพ่อเทียนท่านท้าทายเราว่า  ถึงเราไม่รู้เรื่องราวต่างๆ ตั้งมากมายนั้น  ลองมาตรงเข้าสู่การปฏิบัติเลย  และการปฏิบัตินั้นจะนำไปสู่การรู้  หรือปัญญา  ทำให้รู้บุญ  รู้บาป  และหมดบาปโดยสิ้นเชิง  มีสภาพที่เป็นบุญทรงตัวอยู่

            ปกติคนเราไม่รู้ตัว  หายใจเข้าหายใจออกก็ไม่รู้  กะพริบตาก็ไม่รู้  กลืนน้ำลายก็ไม่รู้  วันหนึ่งทำอะไรๆ หลายอย่าง  ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว  แต่จะไปอยู่กับความคิด  สมองคิดโน่นคิดนี่ไม่หยุด  แต่ไม่เห็นความคิด  คือมันคิดปรุงแต่งไปเรื่อย  โดยไม่รู้สึกตัว

            ตรงนี้ถ้าเข้าใจทฤษฎีเสียเล็กน้อยจะเห็นความสำคัญของสิ่งที่ท่านสอนยิ่งขึ้น  มนุษย์นั้นประกอบด้วย  “กาย”  กับ  “ใจ”  หรือบางทีก็เรียกว่า  “รูป”  กับ  “นาม”  เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึง  รูป  หมายถึง  กาย  นาม  หมายถึง  ใจ

            ใจยังแบ่งเป็น ๔ องค์ประกอบ  คือ
            การรับรู้  (วิญญาณ)
            ความจำ  (สัญญา)
            ความคิด  (สังขาร)
            ความรู้สึกสุขทุกข์  (เวทนา)

            ทั้งกาย (รูป)  และองค์ประกอบทั้งสี่ของนาม  รวมกันเป็นองค์ประกอบ  (ขันธ์)  ๕  ที่เรียกว่าขันธ์ ๕  หรือเบญจขันธ์  มนุษย์มีขันธ์ ๕  ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็หาเป็นมนุษย์ไม่  ขันธ์ทั้ง ๕ ทำงานเชื่อมโยงกัน  คือ

            รูป  รับสัมผัส (ผัสสะมาจากภายนอก  เช่น  โดยการเห็นทางตา  ได้ยินทางหู  ได้กลิ่นทางจมูก  รสทางลิ้น  สัมผัสทั่วไปทางผิวกาย

            เมื่อสัมผัสก็รู้  และเอาไปเก็บไว้เป็นความจำ  ความคิดมาจากความจำ  สัมผัสทำให้เกิดความรู้สึกสุขทุกข์  เมื่อรู้สึกสุขทุกข์แล้วก็เอาทั้งสัมผัสและความรู้สึกสุขทุกข์ไปเก็บไว้เป็นความจำ  แล้วความจำก็จะมากำหนดความคิด  ความรู้สึก (เวทนา)  สุขทุกข์อาจจะเป็นแบบง่ายๆ ชั้นเดียว เช่น  เด็กเกิดใหม่ถูกไฟเป็นครั้งแรกก็เกิดทุกขเวทนาหรือเป็นชนิดสลับซับซ้อน  เช่น

            ท่านถูกนาย ก ด่าเมื่อวันที่ ๑ เมษายน  วันนี้วันที่ ๑๐ เมษายน  การด่าของนาย ก  สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน  เป็นอดีตไปแล้ว  แต่ท่านยังจำการด่าของนาย ก ได้  ยังคิดเจ็บแค้นอยู่ไม่หาย
            เจ็บแค้นเป็น  เวทนา
            เกิดจาก  คิด
            คิด  เกิดจาก  จำ
            จำ  เกิดจากรับรู้  สัมผัส  (การด่า)

            ต่อไปอีกช้านานเมื่อพบนาย ก  (สัมผัสทางตา)  หรือได้ยินชื่อนาย ก  (สัมผัสทางหู)  หรือนึกชื่อนาย ก  (สัมผัสทางใจ)  ขึ้นมา  ก็อาจคิดไปต่างๆ นานา  เช่น  “โธ่  มันไม่น่ามาด่าเราเลย  เราก็ไม่ได้ไปทำอะไรมันสักหน่อย  เรารู้จักมันมาตั้งนานแล้ว  เมื่อก่อนเรายังเคยช่วยเหลือมันด้วยซ้ำไป  นี่ถ้าเป็นคนอื่นมาด่าเราก็จะไม่โกรธเพราะเราไม่เคยทำบุญคุณอะไรไว้  ถ้าเจอกันคราวหน้าเราจะไม่พูดด้วย  มันอาจจะมาด่าเราซ้ำอีกก็ได้.....ฯลฯ.....ฯลฯ.....”

            สมองจะคิดโน่นคิดนี่ว้อบแว้บอยู่เรื่อยๆ หยุดไม่ได้  จะไปสองทางคือ  ฟุ้งซ่านไปในเรื่องที่เกิดแล้วในอดีต  กับวิตกกังวลไปในอนาคต

            ไม่ไปในอดีตก็ไปในอนาคต  ไม่อยู่กับปัจจุบัน  และอนาคตก็เชื่อมกับอดีตโดยมีกิเลสเป็นเชื้อเพลิง  เช่น  คนหนึ่งเคยมายืมเงินเราแล้วไม่ใช้  (อดีต)  เราก็คิดไปว่าไอ้คนนี้อาจจะยืมเราอีก  (อนาคต)  เพราะเรากลัวจะเสียเงิน  (กิเลส)  คิดแล้วเลยไม่สบายใจ  (ทุกขเวทนา)

            ความทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่ความคิด  มันหยุดคิดไม่ได้  นั่นคือ บาป  บาปอยู่ที่ความคิด  ซึ่งเป็นเหยื่อของความจำ  (อดีต)  หรือเรียกว่าอดีตกรรม

            ปรกติมันคิดไปในอดีตเชื่อมกับอนาคตดังกล่าว  โดยไม่รู้ตัว  วิธีแก้คือ  ทำให้มันรู้ตัวกับปัจจุบัน  เดิมปัจจุบันมันไม่มีที่อยู่  ความคิดเกี่ยวกับอดีตและอนาคตเอาไปกินหมด  เราจะต้องหาที่อยู่ให้ปัจจุบัน

            ถ่างความรู้อยู่กับปัจจุบันให้กว้างออก  มันก็จะเบียดความคิดถึงอดีตกับอนาคตออกไปๆ  โดยปัจจุบันเข้ามาแทนที่มากขึ้นๆ  จนกระทั่งรู้อยู่กับปัจจุบันโดยสมบูรณ์  ความคิดถูกไล่ออกไปหมดมันก็จะทุกข์ไม่ได้  มีแต่ความสุข

            (อย่าไปคิดว่าเมื่อรู้อยู่กับปัจจุบันแล้วจะคิดไม่ได้  ทำให้เสียการเสียงาน  เพราะในงานประจำวัน  เช่น  เดินข้ามถนน  หรือประกอบการงานอะไรมันต้องคิด  แต่ความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในสมองไม่ใช่ความคิดทางปัญญา  มันเป็นคิดวุ่นที่ทำให้ยุ่งและไม่มีปัญญาเท่าที่ควร  ยิ่งมีสติรู้อยู่กับปัจจุบันเท่าไรยิ่งเป็นแรงหนุนให้ปัญญาเด่นขึ้น  จะทำงานต่างๆ ได้ผลยิ่งขึ้น)

            หลวงพ่อเทียนสอนให้ปลุกธาตุรู้  หรือบางทีท่านเรียกว่าเขย่าธาตุรู้  โดยขั้นแรกให้รู้ความเคลื่อนไหวของกายก่อน  กายเคลื่อนไหวอย่างไรก็ให้รู้  เช่น  กะพริบตา  หรือกลืนน้ำลาย  หรือหายใจ  หรือแกล้งเคลื่อนไหวมันเสียเลย  เช่น  คว่ำมือหงายมือ  หรือยกมือทำจังหวะต่างๆ ก็ให้รู้ พยายามให้รู้อยู่เรื่อยๆ

            ใหม่ๆ มันจะเป็นการชิงกันระหว่าง “รู้”  กับ “คิด”  ปุถุชนเคยชินกับคิดมากกว่ารู้  แม้แต่ที่ทำท่าทางต่างๆ อยู่นั้น  มันก็มักจะไม่รู้อยู่กับปัจจุบันคือการเคลื่อนไหว  แต่ไพล่จะไปคิด (อดีต-อนาคตเสียเรื่อย

            ขณะที่คิด  ไม่รู้
            ขณะที่รู้  ไม่คิด

            ท่านจึงสอนให้รู้อยู่กับปัจจุบันของการเคลื่อนไหวทุกขั้นตอน  เมื่อทำไปๆ  จิตจะอยู่กับปัจจุบันมากขึ้นๆ  จะพบว่ามีความสงบที่ไม่เคยพบมาก่อน  ความสงบเกิดจากรู้อยู่กับปัจจุบัน  ปรกติไม่มีความสงบ  เพราะมันวุ่นวายอยู่กับความคิด  ซึ่งวิ่งจี๊ดจ๊าดทางโน้นทางนี้รวดเร็วสุดประมาณ

            ปรกติเราคิด  เราเป็นเหยื่อความคิด  ถูกความคิดพาไปกับมัน  ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมัน  แต่เราไม่รู้ความคิด  ท่านจึงสอนว่าให้รู้ความคิด  หรือให้ดูความคิด  หรือให้เห็นความคิด  มันจะคิดดีคิดร้ายก็ปล่อยให้มันคิด  ไม่ต้องไปเกร็งที่จะห้ามคิด  แต่อย่าเป็นเหยื่อถูกมันพาไปไหนๆ โดยไม่รู้ ให้รู้โดยดูมันหรือเห็นมันเหมือนมีคนอีกคนหนึ่งมายืนมองว่า  อ้อ กำลังคิดไอ้นี่  อ้อ กำลังคิดไอ้นั่น

            เจ้าความคิดนี่  ถ้าเป็นเหยื่อมัน  มันพาเตลิดไปไหนๆ โดยไม่รู้ตัว  แต่ถ้ารู้ทันมัน  มันจะหยุด  มันพาไปไม่ได้  ลองดูก็ได้  สมมติว่ากำลังคิดเป็นตุเป็นตะว่า  “พรุ่งนี้จะไปหาสาวที่หลงรักอยู่  ไม่รู้จะเจอไหมน้อ  เขาจะแต่งชุดอะไร  เขาจะพูดกับเราไหมน้อ  รึเขารักอยู่กับไอ้อีกคน  เขาอาจจะไม่อยากพูดกับเราก็ได้.....ฯลฯ.....ฯลฯ....”  คิดไปเรื่อย  ไม่รู้ตัว  ซู่ซ่าไปบ้าง  วิตกกังวลไปบ้าง  สุดแต่ความคิด  แต่ถ้าเรารู้ตัวว่า  อ้อ เรากำลังคิดถึงผู้หญิงคนนี้  มันจะหยุด

            ท่านจึงบอกว่า  ความคิดเหมือนหนู  ความรู้ตัวเหมือนแมว  ตอนไม่มีแมวหนูมันวิ่งพล่าน  แต่เมื่อมีแมว  แมวคอยตะปบหนู
            คิด หนู
            รู้ แมว
            คิดปั๊บ  รู้ปั๊บ  ตะปบ  หยุดๆ ๆ

            เมื่อฝึกให้ธาตุรู้แก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ  มันตะปบความคิดไปกินหมด  ความรู้กับปัจจุบันก็มากขึ้นๆ  ขณะที่รู้กับปัจจุบันจะพบว่ามีความสงบอย่างยิ่ง  เมื่อมีสติอยู่กับปัจจุบันต่อเนื่อง  ความทุกข์ก็มากล้ำกลายอีกไม่ได้  อดีตกับอนาคตมันต่อกันไม่ได้  เพราะความรู้ในปัจจุบันเข้ามาแทนที่เต็มไปหมด

            บาทแรกในปฏิจจสมุปบาท  หรือวงจรแห่งทุกข์  ท่านว่า
            อวิชชา  ปัจจยา  สังขารา
            ความไม่รู้  เป็นปัจจัยให้เกิด  ความคิดปรุงแต่ง
            (แล้วเป็นชนวนให้เกิดความทุกข์)
            ความไม่รู้ทำให้เกิดการปรุงแต่ง  เมื่อรู้ก็หยุดคิดปรุงแต่ง  ก็ไม่มีความทุกข์  หมดบาปหมดกรรม

            การเจริญสติมีหลายวิธีและอาจมีเคล็ดนานาประการ  หลวงพ่อเทียนท้าทายให้ท่านมาลองวิธีที่ท่านใช้แล้วได้ผลโดยรวดเร็ว  ที่จริงก็อยู่ในกรอบของ มหาสติปัฏฐาน ที่พระพุทธเจ้าสอนนั่นเอง  ความเป็นหลวงพ่อเทียนอยู่ที่ท่านเน้นหรือชูความสำคัญของเรื่องการเจริญสติเรื่องเดียว  นำเอาการเคลื่อนไหวสร้างจังหวะของร่างกายมาเป็นเครื่องเขย่าธาตุรู้  และเน้นที่การรู้หรือเห็นความคิด

            รู้สึกตัว”  หมายถึง  รู้กาย  และรู้ความคิด  ถ้าท่านเข้าใจแก่นของสิ่งที่หลวงพ่อเทียนต้องการสื่อสาร  ไม่ไปติดใจกับศัพท์แสงที่ท่านอาจจะใช้ต่างจากผู้อื่น  การอ่านธรรมเทศนาของท่านซ้ำแล้วซ้ำอีก  สลับกับการปฏิบัติ  หรือในการปฏิบัติ  จะเป็นเครื่องให้ความชุ่มกับจิตของท่าน

            ปรกติมักนิยมเชิญผู้ทรงคุณความรู้เหนือผู้ประพันธ์เขียนคำนำให้หนังสือ  ในกรณีนี้กลับตรงกันข้าม  หลวงพ่อเทียนท่านพ้นทุกข์แล้ว  แต่ข้าพเจ้ายังเป็นปุถุชนที่มีบาป  ที่เขียนไปจึงอาจจะผิด  แต่อาสามาทำหน้าที่เพียงเหมือนคนพายเรือที่ต่ำต้อย  พายเรือเอาพระมาส่งให้ท่าน  จุดสำคัญต่อไปจึงอยู่ที่พระ  หาอยู่ที่ผู้พายเรือไม่

            ท่านจะชอบวิธีการที่หลวงพ่อเทียนสอนหรือไม่อาจไม่สำคัญ  แต่การเจริญสติมีความสำคัญต่อพัฒนาการของมนุษยชาติ

                                                                                    .นพ.ประเวศ  วะสี


สารบัญ

คำปรารภในการจัดพิมพ์ครั้งที่ ๙

คำนำโดยหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ

คำนำโดยศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ  วะสี

1.      ของที่คว่ำอยู่ย่อมถูกแผดเผา

2.      เปิดของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น

3.      และแล้วก็จะไม่ถูกแผดเผาอีก

4.      เห็นได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้

5.      ประจักษ์ได้ด้วยการรู้

6.      อารมณ์ของการปฏิบัติ

7.      แต่นั่นมิใช่ได้มาเพียงด้วยการคาดหวัง

ประวัติโดยสังเขปของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ


คำภาษาบาลี  และไทย-บาลี  ที่ใช้ในหนังสือเล่มนี้
ได้รับการแปล  และ/หรือ  อธิบายไว้ภายในตัวบทแล้ว
ดังนั้นผู้อ่านที่สนใจจะไม่มีความยากลำบากในการเข้าใจความหมาย
คำแปลที่อยู่ระหว่างเครื่องหมายคำพูดภายในวงเล็บ  (“    ”)
เป็นคำสามัญที่ใช้กันทั่วไป




















แด่เธอ...ผู้รู้สึกตัว
วิถีแห่งการเจริญสติ
หนังสือแห่งการฝึกฝนตนเอง


ของที่คว่ำอยู่
ย่อมถูกแผดเผา
ของที่หงายแล้ว
ย่อมไม่ถูกแผดเผา

วันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องการดับทุกข์ (ความทุกข์สภาพที่ทนได้ยาก)  ตามทัศนะของพุทธศาสนา  พระพุทธองค์ทรงสอนว่า  เราทุกคนสามารถมาถึงจุดที่สำคัญยิ่งแห่งการดับทุกข์  ดังนั้นข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงวิธีปฏิบัติที่ง่ายๆ  และลัดตรงตามประสบการณ์ของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าสามารถให้คำมั่นแก่เธอทั้งหลายได้ว่า  วิธีนี้จะสามารถปลดปล่อยเธอให้พ้นจากกองทุกข์ได้อย่างแท้จริง

เมื่อเราพูดกันถึงวิธีสู่ความดับทุกข์  (คำพูดนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง  และการปฏิบัตินั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)  วิธีปฏิบัติคือวิธีการเจริญสติในทุกๆอิริยาบถ  กล่าวคือ  การยืน  การเดิน  การนั่ง  และการนอน  การปฏิบัตินี้เรียกกันบ่อยๆว่า สติปัฏฐาน (ที่ตั้งของความรู้สึกตัว)  แต่ไม่ว่าเราจะเรียกมันอย่างไรก็ตาม  ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความรู้สึกสำนึกที่ตัวเราเอง  ถ้าเรารู้สึกตัวแล้ว  โมหะ (ความหลงก็จะหายไป  เธอควรจะเจริญความรู้สึกตัวนี้ให้มาก  ด้วยการมีความรู้สึกตัวในการเคลื่อนไหวทางร่างกายของเธอทั้งหมด เช่น  การพลิกมือ  การยกแขนขึ้นและลง   การก้าวเท้าไปข้างหน้าและการก้าวเท้ากลับ  การหมุนศีรษะและการพยักหน้า  การกะพริบตา  การอ้าปาก  การหายใจเข้า  การหายใจออก  การกลืนน้ำลาย  และอื่นๆ  เธอจะต้องรู้สึกตัวในการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้  และความรู้สึกตัวนี้เรียกว่าสติ  เมื่อเธอรู้สึกที่เนื้อที่ตัวของเธอ  ความไม่รู้สึกตัวซึ่งเรียกว่าโมหะหรือความหลงก็จะหายไป

การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย  คือการเจริญสติ  เราควรจะพยายามเจริญความรู้สึกตัวนี้ในทุกๆ อิริยาบถของการเคลื่อนไหว  เมื่อเรามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมจะเกิดปัญญา (การรู้ชนิดหนึ่งขึ้นในจิตใจ  ซึ่งรู้ความจริงตามที่มันเป็น  การเห็นตัวเราตามที่เป็นจริงคือการเห็นธรรมะ  การเห็นธรรมะ  มิใช่การเห็นเทวดา  นรก  หรือสวรรค์  แต่เป็นการเห็นตัวเราเองในขณะที่พลิกมือ  ยกมือขึ้นและลง  การเดินไปข้างหน้าและกลับ  หมุนศีรษะ  พยักหน้า  กะพริบตา  อ้าปาก  หายใจเข้า  หายใจออก  กลืนน้ำลาย  และอื่นๆ  นี้คือ  รูป-นาม  รูป คือ ร่างกาย  นาม คือ จิตใจ ร่างกายและจิตใจอิงอาศัยซึ่งกันและกัน  สิ่งที่เราสามารถเห็นคือ รูป  และจิตใจที่นึกคิดคือ นาม  เมื่อเรารู้รูป-นาม  เรารู้สิ่งที่เป็นจริงตามที่มันเป็น  เมื่อเธอเห็นด้วยตา  เธอควรจะมีความรู้สึกตัวถึงการเห็นนั้น  เมื่อเธอเห็นด้วยจิตใจ  เธอก็ควรจะมีความรู้สึกตัวถึงการเห็นนั้นเช่นเดียวกัน

ธรรมะคือตัวเรานี่เอง  ทุกๆ คนคือธรรมะ  ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง  คนไทย  คนจีน  หรือชาวตะวันตก  ทั้งหมดคือธรรมะ  การปฏิบัตินั้นอยู่ที่ตัวเรา  และคำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถนำเราไปสู่สภาพของการดับทุกข์อย่างแท้จริง  มนุษย์ก็คือธรรมะ  ธรรมะก็คือมนุษย์  เมื่อเรารู้ธรรมะ  เราก็จะเข้าใจว่า  ทุกๆ สิ่งนั้น  มิได้เป็นอย่างที่เราคิด  ทุกๆ สิ่งคือ สมมติ (สิ่งที่ยอมรับตกลงกัน)  นี้คือปัญญาที่เกิดขึ้น  เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งในคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า  ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม  พระธรรมนั้นมีอยู่ก่อนแล้ว  เมื่อเราเห็นสิ่งนี้อย่างแท้จริง เราจะอยู่เหนือความเชื่อที่งมงายทั้งหลาย  เพราะเรารู้ว่าธรรมะก็คือตัวเรา  ตัวเราเท่านั้นที่จะนำชีวิตของเราเอง  มิใช่ใดอื่น  นี้คือจุดเริ่มต้นของความสิ้นสุดแห่งทุกข์

ขั้นต่อไปเราพยายามเจริญสติ  ในทุกๆ อิริยาบถของการเคลื่อนไหวของเราในชีวิตประจำวัน  ยกตัวอย่างเช่น  เมื่อเรากำมือ  หรือเหยียดมือ  เรารู้สึกตัวถึงการกระทำนั้น  และเมื่อเรารู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหวของเราทั้งหมด  ความไม่รู้สึกตัว  หรือโมหะ  ก็จะหายไปเอง  เมื่อเรามีความรู้สึกตัวอยู่  จะไม่มีความหลง  เปรียบเหมือนกับการเทน้ำลงไปในถ้วยแก้ว  ขณะที่เราเทน้ำลงไปน้ำจะเข้าไปแทนที่อากาศ  และเมื่อเราเทน้ำจนเต็มแล้ว  อากาศทั้งหมดในถ้วยแก้วก็จะหายไป  แต่ถ้าเราเทน้ำออกอากาศก็จะเข้าไปในถ้วยแก้วทันที  ฉันใดก็ฉันนั้น  เมื่อมีโมหะอยู่  สติและปัญญาไม่สามารถเข้ามาได้  แต่เมื่อเราปฏิบัติการเจริญสติ  ทำความรู้สึกที่ตัวของเราเอง  ความรู้สึกตัวนี้จะเข้ามาแทนที่โมหะ  เมื่อมีสติอยู่  โมหะก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้  อันที่จริงแล้ว  สิ่งที่เรียกว่า  โทสะ  โมหะ  โลภะ (ความโกรธ  ความหลง  ความโลภ)  มิได้มีอยู่จริง  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  ขณะที่เธอทั้งหลายกำลังฟังข้าพเจ้าพูดอยู่นี้  จิตใจของเธอเป็นอย่างไร  จิตใจของเธอที่กำลังฟังอยู่นี้เป็นธรรมชาติ  และเป็นอิสระจากโทสะ  โมหะ  โลภะ

บัดนี้  เรามารู้จักศาสนา  (“คำสอน”)  พุทธศาสนา  (“คำสอนของพระพุทธเจ้า”)  บาป (“ความชั่วความมัวหมอง”)  และบุญ  (“ความดีคุณงามความดี”)  บาปคือความโง่  บุญคือความฉลาดหรือความรู้  เมื่อเธอรู้เธอย่อมสามารถสละ  ละวางได้  ศาสนาคือตัวมนุษย์นี้เอง  และพุทธศาสนา  ก็คือสติปัญญา (การรู้ถึงความรู้สึกตัวซึ่งเกิดขึ้น  และรู้อยู่ที่จิตใจ  คำว่า  “พุทธะ”  หมายถึง บุคคลผู้รู้ในการเจริญสติ  ในทุกๆ อิริยาบถการเคลื่อนไหวของเรา  เราเจริญความรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดทั้งร่างกาย  เมื่อความคิดเกิดขึ้น  เราเห็นความคิดนั้น  เรารู้และเราเข้าใจ  แต่ในกรณีของบุคคลธรรมดา  เขาเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในความคิดและเป็นส่วนหนึ่งของความคิด  ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นความคิด  สมมติว่าเราเข้าไปอยู่ในมุ้งซึ่งอยู่ในห้องของบ้านหลังหนึ่ง  ขั้นแรกที่สุดเราจะต้องออกมาอยู่นอกมุ้ง  เพื่อที่จะเห็นขอบเขตของมุ้งนั้น  และในทำนองเดียวกัน  เราจะต้องออกมาอยู่นอกห้องและมาอยู่นอกบ้านเพื่อที่จะเห็นว่า  เราถูกขังอยู่ในนั้นมาก่อน  ความคิดก็เช่นเดียวกัน  เราไม่สามารถจะเห็นความคิด  ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของความคิด  เราจะต้องออกจากความคิดเพื่อที่จะเห็นความคิดได้อย่างชัดเจน  เมื่อเราเห็นความคิดก็จะหยุด

เปรียบเหมือนกับการนำแมวมาไว้ในบ้านของเรา  ให้คอยกำจัดหนูซึ่งกำลังรบกวนเราอยู่  แมวและหนูนั้นเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ  ในตอนแรกแมวอาจจะตัวเล็กและอ่อนแอมาก  ในขณะที่หนูตัวโตและมีพละกำลัง  เพราะฉะนั้นถ้าแมวกระโดดเข้าตะครุบหนู  แมวก็จะถูกลากไปในขณะที่หนูวิ่งหนี  และหลังจากที่เกาะไว้ได้สักพักหนึ่งก็ต้องปล่อยไป  เราไม่สามารถตำหนิแมว  แต่เราจะต้องให้อาหารแก่แมวนั้น  เราให้อาหารแก่แมวนั้นบ่อยๆ  และในไม่ช้าแมวก็จะมีพละกำลังมากและเข้มแข็ง  และเมื่อหนูมาแมวก็สามารถจับหนูได้  เมื่อหนูถูกจับได้  มันจะหัวใจวายตายทันทีก่อนที่แมวจะกินมัน  ความคิดก็เช่นเดียวกัน  ถ้าเราเจริญสติ  แล้วเมื่อความคิดเกิด  เราจะรู้สึกถึงความคิดนั้นและความคิดก็จะหยุด  ความคิดจะไม่ติดต่อเพราะเรารู้สึกถึงมัน  ความคิดหายไปเพราะเรามีสติ  สมาธิ (การตั้งจิตใจ)  และปัญญา  พร้อมกันในขณะนั้น  สติหรือความรู้สึกตัว หมายถึงการตื่นตัว  เช่นเดียวกับแมวที่จ้องจะจับหนู  เมื่อความคิดเกิดขึ้นเราไม่ต้องไปเป็นส่วนหนึ่งของความคิดนั้น  ความคิดจะเกิดและดับด้วยตัวของมันเอง  เมื่อมีสติอยู่จะไม่มีโมหะ  เมื่อไม่มีโมหะ  ก็จะไม่มีโทสะ  โมหะ  โลภะ  นี้เรียกว่า นาม-รูป  เมื่อนามคิด  และเรารู้เท่าทันถึงความลวงหลอก  เรารู้ทัน  เรารู้การป้องกัน  เรารู้การแก้  สิ่งนี้คือ  สติ

ศีล (การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย,  ความประพฤติถูกต้องดีงาม)  คือความปกติ  ศีล  คือผลของจิตใจที่เป็นปกตินี้เป็นสิ่งเดียวกับสติ  สมาธิ  ปัญญา  วิธีของการเจริญความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่สามารถสิ้นสุดทุกข์ได้  ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจและที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น คือการปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี้เอง  ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิหลับตา  ถ้าเรานั่งหลับตาเราก็ไม่สามารถทำงานได้  ถ้าขโมยมาเขาก็จะขโมยของเราได้  ดังนั้นเราควรจะลืมตาและเราก็สามารถทำงานทุกชนิดได้  และทุกขณะเราสามารถปฏิบัติการเจริญสติ  ไม่ว่าเราจะเป็นนักศึกษา  ครูอาจารย์  พ่อแม่  บุตรธิดา  ตำรวจ  ทหาร  หรือข้าราชการ  เราทุกคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบได้ในขณะที่ปฏิบัติการเจริญสติ  ทุกๆ คนสามารถกระทำหน้าที่ของตนเองในขณะเจริญสติ  กระทำได้อย่างไร  เพราะเรามิได้นั่งหลับตา  เราจึงสามารถทำหน้าที่ของเราไปตามปกติและเห็นจิตใจของเราในขณะเดียวกัน

จิตใจมิได้มีตัวตนที่แท้จริง  ทันทีที่จิตใจนึกคิดเราเห็น  เรารู้  เราเข้าใจ  การเจริญสติ  คือการเขย่าธาตุรู้ในตัวของบุคคล  ทุกคนมีสิ่งที่เป็นจริงในจิตใจของตนอยู่แล้ว  แต่ถ้าเราไม่สามารถเห็นมันเราก็จะไม่เข้าใจมัน  แต่มันก็คงยังอยู่ ณ ที่นั้น  บัดนี้  ถ้าเราดูเราก็จะเห็น  เมื่อเราเห็นโดยอาการเช่นนี้เรียกว่าการเห็นธรรมะ  การเห็นธรรมะชนิดนี้สามารถกำจัดโทสะ  โมหะ  โลภะได้

มรรค (วิถีทางอันสูงส่ง,  การดูชีวิตจิตใจ)  คือวิถีแห่งการปฏิบัติอันนำไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์  วิถีแห่งการปฏิบัติคือการรู้สึกตัวเท่าทันความคิด  ร่างกายของเราทำงานไปตามหน้าที่และความรับผิดชอบ  แต่จิตใจของเราจะต้องดูความคิด  ทุกข์เกิดขึ้น  และเพราะเราไม่เห็นมัน  มันจึงชนะเรา  และยังเราให้เป็นทาส  มันนั่งอยู่บนศีรษะของเราและตบหน้าเรา  แต่ถ้าเราสามารถเห็น  รู้  และเข้าใจมันแล้ว  มันก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้  ทุกข์เปรียบเหมือนกับปลิงที่เกาะติดแน่นกับตัวเราและดูดเลือดของเรา  ถ้าเราพยายามดึงมันออก  มันก็ยิ่งจะเกาะแน่นขึ้นและเราก็จะเจ็บปวดยิ่งขึ้น  แต่ถ้าเราฉลาด  เราเพียงแต่ใช้

วิธีของการเจริญความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ที่สามารถสิ้นสุดทุกข์ได้  ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจ
และที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น
คือการปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี้เอง

น้ำผสมกับใบยาและปูนกินหมาก  และบีบน้ำที่ผสมแล้วนั้นลงบนตัวปลิง  ปลิงมันกลัวและมันจะหลุดของมันไปเอง  ดังนั้นเราไม่ต้องไปแกะมันออกหรือไปดึงมัน  เพื่อที่จะกำจัดมัน  เช่นเดียวกันบุคคลที่ไม่รู้พยายามจะหยุดโทสะ  โมหะ  โลภะ  เขาเหล่านั้นพยายามต่อสู้และกดมันไว้  แต่สำหรับบุคคลผู้รู้เพียงมีสติเข้าไปดูจิตใจและเห็นความคิด

            เปรียบเหมือนกับการเปิดไฟฟ้า  บุคคลที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าจะพยายามหมุนที่หลอดไฟ  แทนที่จะไปแตะที่สวิตช์  หลอดไฟจึงไม่ติด  แต่สำหรับบุคคลผู้ซึ่งรู้เกี่ยวกับไฟฟ้า  จะรู้จักเกี่ยวกับวิธีใช้สวิตช์ไฟและดวงไฟก็สว่างขึ้น  โทสะ  โมหะ  โลภะ  เปรียบเหมือนกับหลอดไฟฟ้า  ความคิดเปรียบเหมือนกับสวิตช์  ความคิดเป็นต้นเหตุของความผิดปกติเหล่านี้  ถ้าเราต้องการขจัดความยุ่งเหยิงผิดปกติเหล่านี้  ให้เรามาจัดการที่ความคิด  เมื่อเรามีสติ  เฝ้าดูความคิดอยู่  โทสะ โมหะ  โลภะ  ไม่สามารถเกิดขึ้นได้  แท้จริงแล้วนั้นไม่มีโมหะ  ไม่มีโลภะ  และไม่มีโทสะ  เราแตะสวิตช์ไฟที่นี่เพื่อให้เกิดความสว่างขึ้นที่นั่น  เราเจริญสติที่นี่เพื่อยังความสิ้นสุดแก่ทุกข์ทั้งปวง  ทุกข์เกิดจากโมหะ  เมื่อเรามีสติ  ก็ย่อมจะไม่มีโมหะ  และดังนั้นก็ย่อมจะไม่มีทุกข์ด้วย  เมื่อเราเคลื่อนมือของเรา  เรารู้สึก  และการรู้ถึงความรู้สึกนี้คือสติ  และเมื่อเรามีสติ  เราจะแยกออกจากความคิดและสามารถเห็นความคิด

            เธอไม่ควรจะใส่ใจมากเกินไปต่อการเคลื่อนไหว  แต่ใช้สติเฝ้าดูความคิดปรุงแต่ง  เพียงเฝ้าดูความคิดเฉยๆ  อย่าไป “จ้อง” มัน  เมื่อความคิดเกิดขึ้นจงปล่อยให้มันผ่านไปทันที  แท้จริงแล้วนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโมหะ  โมหะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่รู้สึกตัว  เปรียบเหมือนกับเมื่อเราสร้างบ้านหลังใหม่หนูยังไม่มี  แต่เมื่อเรานำสิ่งของต่างๆ มาไว้ในบ้านหนูก็มา  บางครั้งเมื่อคนมาวิพากษ์วิจารณ์มาตำหนิเรา  เราจะรู้สึกผิดหวังท้อแท้  ด้วยการปฏิบัตินี้ความรู้สึกตัวถึงความท้อแท้ผิดหวังจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันดุจดั่งแมวตะครุบหนู  เมื่อเราสามารถรักษาจิตใจของเราให้อยู่ในสภาพเช่นนี้  โทสะ  โมหะ  โลภะ  ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้  เมื่อความคิด  ความทุกข์  หรือความสับสนเกิดขึ้น  อย่าได้พยายามหยุดมันแต่ให้สังเกตมัน  และเราจะเข้าใจถึงธรรมชาติของมัน  ทันทีที่ความคิดเกิดขึ้นปัดมันทิ้งออกไปทันที  และให้มาอยู่กับความรู้สึกตัว  ความคิด  ความทุกข์  จิตใจที่สับสนก็จะอันตรธานไปโดยตัวของมันเอง

            ทุกครั้งที่ความคิดอุบัติขึ้นเรารู้มัน  แม้เมื่อขณะนอนหลับ  เมื่อเราเคลื่อนไหวร่างการของเราขณะนอนหลับนั้น  เราก็รู้สึกตัวด้วย  นี้เป็นเพราะความรู้สึกตัวของเราสมบูรณ์  เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะ  ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม  เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป  บุคคลที่สามารถเห็นความคิดเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กระแสของนิพพาน (กิเลสดับเชื้อ)  และแล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง  ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน  ถ้าความคิดรวดเร็ว  ปัญญาก็จะรวดเร็วด้วย  ถ้าความคิดหรืออารมณ์ลึกมาก  ปัญญาก็จะลึกมากด้วยเช่นกัน  และถ้าทั้ง ๒ สิ่งนี้ลึกเท่าๆ กัน  และปะทะกันก็จะเกิดการแตกออกอย่างฉับพลันของสภาวะที่มีอยู่แล้วในคนทุกคน  ด้วยการอุบัติขึ้นนี้  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  และจิตใจจะไม่ยึดติดอยู่กับรูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  และวัตถุแห่งการนึกคิด  เช่นเดียวกันกับการถอดกลไกการขับเคลื่อนของรถยนต์  เมื่อชิ้นส่วนต่างๆ ถูกถอดออกจากกัน  รถยนต์แม้จะยังดำรงอยู่แต่ก็ไม่สามารถจะขับเคลื่อนได้อีกต่อไป

            เมื่ออาการปรากฏนี้เกิดขึ้น  เราไม่ได้ตาย  เราก็ยังสามารถทำงานไปตามหน้าที่ของเรา  เราสามารถกินดื่มและนอนหลับ  แต่บัดนี้โดยกฎของธรรมชาติทุกสิ่งเป็นความว่าง  และนี้คือกฎที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้  สมมติว่ามีเชือกเส้นหนึ่ง  ขึงตึงระหว่างเสา ๒ ต้น  และเราตัดมันขาดที่กึ่งกลาง เชือกก็จะขาดออกจากกัน  ถ้าเราต้องการจะผูกมันเข้าด้วยกันอีก  เราไม่สามารถที่จะกระทำได้  ถ้าเราแก้เชือกออกจากเสาต้นหนึ่งเพื่อนำไปผูกที่กึ่งกลางแล้ว  เราก็ไม่สามารถผูกมันเข้าที่เสาต้นเดิมได้อีก  เรื่องนี้เปรียบเหมือนกับประสาทสัมผัสทั้งหกของบุคคลที่ประจักษ์แจ้งธรรมชาติดั้งเดิมของเขา  เมื่อตาของเขากระทบเข้ากับวัตถุสิ่งหนึ่ง  จะไม่มีความยึดติด  เช่นเดียวกับน็อตที่เกลียวหวานไม่สามารถทำหน้าที่ยึดเกาะได้อีก

            คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น  มีจุดมุ่งหมายเพื่อยังความสิ้นสุดแก่ความทุกข์  ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งนี้  เราจะเกิดความลังเลสงสัยเกี่ยวกับคำสอนของพระองค์  และจะคาดคิดเกี่ยวกับเรื่องการเกิดใหม่  สวรรค์  นรก  และอื่นๆ  การคาดคิดซึ่งควรจะละทิ้งนั้นกลับระบาดอยู่ในใจของเรา คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไร้กาลเวลา  และไม่ถูกจำกัดอยู่ด้วยภาษา  เชื้อชาติ  สัญชาติหรือศาสนาใดๆ  ตามหลักฐานในสติปัฏฐานสูตร  ถ้าเธอปฏิบัติสติปัฏฐานอย่างต่อเนื่องดุจดังลูกโซ่  นั้นคือเจริญสติในทุกขณะแล้ว  ความเป็นพระอรหันต์  (ผู้ดับกิเลสได้  ดับเชื้อได้  เห็นจริงรู้แจ้งในตัวของตัว)  หรือภาวะแห่งพระอนาคามี (“ผู้ไม่หวนกลับ”)  เป็นสิ่งที่หวังได้  อย่างนานภายใน ๗ ปี  อย่างกลาง ๗ เดือน  และอย่างเร็วที่สุด ๗ วัน  ถ้าเธอเจริญสติตามวิธีที่ข้าพเจ้าอธิบายให้ฟัง  และมีสติอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นลูกโซ่แล้ว  อย่างนานที่สุดภายใน ๓ ปี  ความทุกข์ก็จะลดน้อยลงถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์  และในบางกรณีอาจจะหมดสิ้นโดยสมบูรณ์  สำหรับบุคคลบางคนนั้น  อาจจะได้รับผลนี้ภายในเวลา ๑ ปี  หรือภายในเวลา ๙๐ วัน  จะไม่มีความดีใจหรือเสียใจ  ความพอใจหรือความไม่พอใจ  หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้เป็นหนทางที่ง่าย  เหตุที่ยากก็เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง  เราจึงมีแต่ความสงสัยและลังเล

            เมื่อเรามีความมั่นใจในทุกๆก้าวของการปฏิบัติ  มันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยากเย็นอะไร  เธอสามารถปฏิบัติมันได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง  แต่เธอควรจะรู้ถึงการปฏิบัติอย่างถูกต้องและแท้จริง  ถ้าเธอสามารถรับรองตัวของเธอเองได้แล้ว  ก็หมายความว่าเธอมีที่พึ่งในตัวเอง  ศาสนาหมายถึงที่พึ่ง อันนี้หากว่าเธอได้ศึกษาตำรามาเป็นเวลาหลายปี  นั้นก็ยังคงเป็นเพียงทฤษฎีอยู่  แต่ถ้าเธอได้ปฏิบัติอย่างแท้จริง  เธอจะไม่ต้องเสียเวลานานถึงเพียงนั้น  และสิ่งที่เธอรู้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีกว่านักทฤษฎีอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้  ในภาษาบาลีมีคุณภาพทางจิตใจที่สำคัญอยู่สองสิ่ง  สิ่งแรกคือ  สติ การเรียกกลับมาที่จิตใจ  และสิ่งที่สองคือสัมปชัญญะ  ความรู้สึกตัวที่ตัวของเราเอง  เมื่อเรามีความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมือของเรา  เรามีทั้งสติและสัมปชัญญะ  ผลแห่งการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก  เป็นสิ่งที่มีอาจหาค่าได้  เราไม่อาจซื้อความไม่ทุกข์  แต่จะต้องลงมือปฏิบัติด้วยตัวของเราเองจนกระทั่งสิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง  เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว

            พระธรรมที่ตถาคตรู้นั้น
มีมากเปรียบเหมือนใบไม้ทั้งป่า
แต่พระธรรมที่ตถาคต
สอนแก่พวกเธอทั้งหลายนั้น
เปรียบเหมือนใบไม้กำมือเดียว

การทำบุญและการรักษาศีลเปรียบประดุจดั่งข้าวเปลือกซึ่งไม่อาจจะกินได้แต่ก็เป็นประโยชน์  เพราะเราจะใช้มันสำหรับการเพาะปลูกในปีถัดไป  การทำตนเองให้สงบนั้นเปรียบดั่งเช่นข้าวสารที่ยังมิได้หุงและก็ยังคงกินไม่ได้  ความสงบนั้นมี ๒ อย่างด้วยกัน  อย่างแรกคือ  ความสงบแบบสมถะ  (ความจดจ่ออยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งหรือสงบแบบไม่รู้)  อย่างที่สองคือ  ความสงบแบบวิปัสสนา  (ปัญญาญาณ,  เห็นแจ้งรู้จริงสัมผัสได้  ไม่ทุกข์)  ในการกระทำสมถภาวนานั้น  เธอจะต้องนั่งนิ่ง  หลับตาและเฝ้าดูลมหายใจเข้าและลมหายใจออกของเธอ  เมื่อลมหายใจละเอียดอ่อนมากเข้าบางครั้งเธอจะไม่รู้สึกถึงลมหายใจนั้น  และเธอรู้สึกสงบมาก  แต่โทสะ  โมหะ  โลภะ  ไม่สามารถถูกขจัดออกไป  เพราะยังคงมีความไม่รู้อยู่  และเธอเองก็ไม่รู้สึกถึงตัวความคิดของเธอ  แต่วิปัสสนาภาวนานั้นสามารถขจัดโทสะ  โมหะ  โลภะ  และความสงบชนิดนี้สามารถมีได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง  และในทุกเวลา  ดังนั้นแล้วเราจึงไม่จำเป็นต้องนั่งปิดหูปิดตา  ตาของเราสามารถดู  หูของเราสามารถได้ยิน  แต่เมื่อความคิดเกิดขึ้นเราเห็นมัน  ความสงบแบบนี้เป็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคนทุกคน

จิตใจดั้งเดิมของเรานั้นสะอาด  สว่าง  และสงบ  สิ่งซึ่งมิได้สะอาด  สว่างและสงบนั้น  มิใช่จิตใจของเรา  มันคือกิเลส (ยางเหนียว)  เราพยายามที่จะเอาชนะกิเลสนี้  แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นกิเลสมิได้มีอยู่จริง  แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร  สิ่งที่เราต้องกระทำเพียงอย่างเดียวคือ  เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน  เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด  เมื่อเราเห็นจิตใจอย่างชัดเจนโมหะก็จะไม่มีอยู่

คำว่า “สะอาด” ชี้เฉพาะไปที่ภาวะธรรมชาติของจิตใจ  ซึ่งไม่ถูกแปดเปื้อนหรือถูกครอบคลุมโดยสิ่งใด  เรามีสติปัญญาแทงตลอดเข้าไปถึงจิตใจ  และเห็นจิตใจอย่างชัดเจน  รู้ว่าจิตใจนั้นมีความสมดุล  และไม่มีสิ่งใดมากระทบมันได้  นี้คือความสะอาดของจิตใจ  ความ “สว่าง” ของจิตใจเปรียบดั่งแสงที่ส่องสว่างซึ่งช่วยให้เราเกิดความปลอดภัย  ไม่ว่าเราจะไป ณ ที่ใด  ในภาวะแห่งความสว่างแจ่มจรัสนี้  เราเห็นชีวิตจิตใจของเราเองตลอดเวลาทุกๆ นาที  ทุกๆ วินาที  และทุกๆ ขณะ  นี้ความสว่างของจิตใจ  ความ “สงบ” หมายถึงการหยุด  ความสิ้นสุดของโทสะ  โมหะ โลภะ  ความเร่าร้อนปั่นป่วนและความทุกข์ยากทั้งมวล  อีกทั้งยังหมายถึงการยุติการแสวงหาวิธีหรือระบบต่างๆ อีกด้วย  เราไม่จำเป็นต้องออกเสาะแสวงหาครูอาจารย์อีก  เพราะเรารู้อย่างแท้จริงเพื่อตัวเราเอง  โดยตัวเราเอง  และในตัวเราเอง  เมื่อเรารู้จักจิตใจเราอย่างแท้จริง  เรารู้ว่าจิตใจนั้นสะอาด  สว่าง  และสงบในทุกเวลา

เมื่อเรารู้จักจิตใจ  เราจะรู้ถึงภาวะที่ความทุกข์เกิด  และภาวะที่ความทุกข์ดับ  เรารู้ความคิดทุกครั้งที่มันคิด  เรารู้แม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้น  และไม่ว่าเราจะเคลื่อนไหวด้วยอิริยาบถใด  เรารู้มันทั้งหมด  เรารู้ด้วยการเฝ้าดูโดยปกติธรรมดา  โดยไม่จำต้องพยายามหรือฝืน  การรู้นี้เป็นสิ่งที่รวดเร็วมาก  มันรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า  ยิ่งกว่าไฟฟ้า  และยิ่งกว่าสิ่งใดๆ  การรู้เป็นสิ่งเดียวกับปัญญา  เป็นสิ่งเดียวกับสติปัญญา  สติและสมาธิและปัญญา  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเดียวกัน  ปัญญารอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ  แม้แต่ว่าเสียงที่แผ่วเบาที่สุดเกิดขึ้นเราก็รู้  เมื่อลมพัดมาถูกผิวหนังของเราเราก็รู้  ความคิดไม่ว่าจะเกิดในลักษณะอาการเช่นใดเราก็รู้  เมื่อความคิดอยู่ลึกปัญญาก็ลึกด้วย  เมื่อความคิดว่องไวกิเลสก็ว่องไวและปัญญาก็ว่องไวด้วย  ไม่ว่าความคิดจะเกิดโดยรวดเร็วเพียงใด  ปัญญาจะรู้ความคิดนั้น

นี้คือสิ่งที่เรียกว่า  ปฏิจจสมุปบาท  (“การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน”)  เมื่อไม่มีอวิชชา  (การไม่รู้)  สายโซ่ซึ่งยังให้เกิดทุกข์ก็ขาดสะบั้นลง  เพราะการรู้เข้าไปแทนที่  เธออาจจะเคยได้ยินมาว่าพระพุทธเจ้าทรงตัดผมของพระองค์เพียงครั้งเดียว  และผมของพระองค์ก็ไม่ขึ้นมาอีกเลย  ข้อนี้เป็นปริศนาธรรม  เมื่อผมถูกตัดออกไป มันไม่อาจจะกลับมาติดได้ดั่งเดิม  ข้อนี้ฉันใด  การตัดอวิชชาออกไปอย่างเด็ดขาด  โดยที่มันไม่อาจจะหวนกลับมาได้อีก  ก็เป็นฉันนั้น  นี้คือกฎตายตัวของธรรมชาติ  ดุจดั่งเชือกที่ขึงตึงไว้กับเสาสองต้น  เมื่อเราตัดให้ขาดออกจากกันที่ตรงกลางก็ไม่อาจจะกลับเข้ามาผูกติดกันได้อีก  เมื่อเราเห็นมาถึงจุดนี้เราจะรู้ว่า  ภาวะเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในคน  แล้วทำไมมันจึงกลายเป็นเรื่องที่ยากเย็น  มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยากแต่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย  มันเป็นสิ่งที่ทั้งยากและง่าย

มีภาษิตบทหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย  กล่าวไว้ว่า  “คนจนมั่งมี  เศรษฐีทุกข์ไส้”  ทำไมจึงทุกข์  ทำไมจึงจน  เศรษฐีนั้นรวยเฉพาะแต่ในเรื่องเงินทองเท่านั้น  แต่ยากจนเพราะไม่เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของตน  ส่วนคนยากจนใดที่เห็นถึงกฎของธรรมชาติข้อนี้ ถือว่าเป็นผู้มั่งคั่งโดยแท้  เงินทองไม่อาจจะนำใครมาถึงจุดนี้ได้  คนทุกคนมีความสามารถทัดเทียมกันที่จะมาถึงจุดนี้  เพราะว่าทุกคนมีเหมือนกัน  ไม่ว่าเราจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย  คนไทย  คนจีน  หรือชาวตะวันตก  และไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาใดๆ ด้วย  เราทั้งหมดมีจิตใจดั้งเดิมเป็นสิ่งเดียวกัน  ข้อนี้เป็นกฎธรรมชาติเช่นเดียวกับที่ร่างกายของคนทุกคนประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ อย่างเดียวกัน  ข้าพเจ้าสามารถให้คำมั่นแก่พวกเธอทั้งหลายได้ว่า  ตัวเธอทุกคนนี้แหละปฏิบัติได้  แต่เธอจะต้องมีความจริงใจ

ข้าพเจ้าเชื่อในคำพูดที่ว่า  พระธรรมนั้นมีอยู่ก่อนการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าเป็นเพียงบุคคลแรกที่ทรงค้นพบ  ก่อนการอุบัติของพระพุทธเจ้านั้น  พระธรรมถูกปกปิดอยู่  พระพุทธเจ้าเพียงแต่ทรงเปิดเผยพระธรรมนั้น  ธรรมชาติที่แท้จริงนี้ดำรงอยู่แล้วในคนทุกคน  เมื่อเธอลุกขึ้นยืน  ธรรมชาติที่แท้จริงนี้ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเธอ  เมื่อเธอนั่งลง  มันก็นั่งตามด้วย  เมื่อเธอนอนหลับมันก็นอนหลับพร้อมๆ กับเธอ  และเมื่อเธอไปเข้าห้องน้ำ  มันก็ยังติดตามเธอไปที่นั่นด้วย  มันไปทุกหนทุกแห่งพร้อมกับเธอ  ดังนั้นเธอจึงสามารถปฏิบัติได้ในทุกสถานที่  เธอควรจะรู้ถึงวิธีการปฏิบัติ  เธอควรจะรู้ถึงวิธีการดูความคิด  เมื่อเธอรู้ถึงต้นตอหรือแหล่งที่มาของความคิด  นี้เป็นจุดที่สำคัญยิ่ง  จากจุดนี้หนทางอันยิ่งใหญ่จะเปิดเผยตัวของมันเอง

            เมื่อเรามีทัศนะที่ถูกตรงและหนทางที่ถูกตรงแล้ว  แน่นอนที่สุดเราย่อมจะลุถึงเป้าหมายในการฟังเทศนา  การบริจาคทาน  การรักษาศีล  การปฏิบัติสมถภาวนา  หรือแม้แต่วิปัสสนาภาวนา  ถ้าเราไม่สามารถลุถึงที่หมายนี้  สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความดีอย่างโลกๆ เท่านั้น  แต่มิใช่ความดีอันแท้จริง  แต่ถ้าเรามิได้บริจาคทานหรือรักษาศีลหรือปฏิบัติการภาวนา  และก็ยังคงบรรลุถึงจุดนี้แล้ว  กิจที่ต้องทำทั้งหมดเป็นอันสิ้นสุด  ประดุจดังฟ้าที่ครอบคลุมดิน  มันครอบคลุมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง  ดังนั้นพระไตรปิฎกทั้ง  ๘๔,๐๐๐  พระธรรมขันธ์ซึ่งรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ทั้งหมดได้รวมอยู่ที่จุดนี้  ถ้าเธอศึกษาพระไตรปิฎกจนจบ  เธอควรที่จะมาถึงจุดนี้  แต่ถ้าเธอผ่านพระไตรปิฎกทั้งหมดแล้ว  แต่มิได้มาถึงจุดนี้  เธอก็ยังคงมีแต่ความลังเลสงสัยและก็ยังคงมีแต่ทุกข์

            บัดนี้ เราไม่ต้องศึกษาพระสูตร  พระวินัย  หรือพระอภิธรรม (พระไตรปิฎก)  แต่เราต้องมีความรู้สึกตัวมาถึงที่จุดนี้  เมื่อเรามาถึงจุดนี้เราก็จะรู้พระไตรปิฎกทั้งหมด  ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังป่าแห่งหนึ่ง  พร้อมด้วยภิกษุจำนวนหนึ่ง  พระองค์ทรงหยิบใบไม้แห้งกำมือหนึ่งขึ้นมา แล้วตรัสถามแก่ภิกษุว่า  “ใบไม้ทั้งหมดในป่าและในมือของเราตถาคต  เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วอย่างไหนจะมีมากกว่ากัน”  ภิกษุทั้งหลายตอบว่า  “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ใบไม้ทั้งหมดในป่าย่อมมีมากกว่าใบไม้ที่อยู่ในมือของพระองค์อย่างเปรียบเทียบกันมิได้  พระเจ้าข้า”  พระพุทธองค์จึงตรัสว่า  “พระธรรมที่ตถาคตรู้นั้นมีมากเปรียบเหมือนใบไม้ทั้งป่า  แต่พระธรรมที่ตถาคตสอนแก่พวกเธอทั้งหลายนั้น  เปรียบเหมือนใบไม้กำมือเดียว”  โปรดเข้าใจความหมายนี้ให้ถูกต้อง  พระพุทธเจ้าทรงสอนเฉพาะเรื่องทุกข์และการดับไปของทุกข์เท่านั้น  มิได้มีสิ่งใดอื่น  การศึกษาตำรา  การบริจาคทาน  การรักษาศีล  การปฏิบัติสมถภาวนา  หรือวิปัสสนาภาวนา  ควรจะนำเรามาถึงที่จุดนี้  มิฉะนั้นแล้วก็เป็นสิ่งที่ไร้ค่า  เมื่อเรามาถึงที่จุดนี้  กิจที่ต้องทำทั้งหมดก็เป็นอันสิ้นสุด











            เปิดของที่คว่ำอยู่
            ให้หงายขึ้น


            เพราะว่าทุกคนมีความสงสัยในการเสาะหาวิธีปฏิบัติให้พ้นจากความสับสนวุ่นวาย  วันนี้ข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงวิธีการและกล่าวถึงการปฏิบัติที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาก่อน

            แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าได้ศึกษากรรมฐาน  (ที่ตั้งของการกระทำ)  หลายอย่างหลายชนิดด้วยกัน  เช่น  หายใจเข้าว่า “พุท”  หายใจออกว่า “โธ”  นั่งขัดสมาธิหลับตา  รวมทั้งวิธีการทำอย่างนั้นทั้งหมด  ข้าพเจ้าได้ศึกษาการบริกรรมคำว่า “สัมมาอรหัง”  และข้าพเจ้าได้ปฏิบัติวิธียุบหนอ  พองหนอ นี้ก็เป็นวิธีการดูลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเช่นเดียวกัน  และแล้วข้าพเจ้าก็ได้หันมาทดลองวิธีนับลมหายใจซึ่งเป็นการปฏิบัติอีกวิธีหนึ่งของการดูลมหายใจเข้าและลมหายใจออก  แล้วข้าพเจ้าได้มาปฏิบัติอานาปานสติ  รู้ลมหายใจเข้าสั้นและลมหายใจออกสั้น  รู้ลมหายใจเข้ายาวและลมหายใจออกยาว  วิธีการทั้งหมดเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติมา  ข้าพเจ้ามิได้มีปัญญาญาณใดๆ เกิดขึ้นเลย  วิธีการทั้งหมดเหล่านี้ล้วนนำไปสู่ความสงบ  แต่ก็เป็นความสงบคนละชนิดกับที่ข้าพเจ้าเสาะแสวงหา

            คนส่วนใหญ่แสวงหาความสงบ  แต่การนั่งนิ่งๆ นั้นเป็นความสงบที่ไม่สงบ  ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงยังคงเสาะแสวงหาต่อไปเพื่อค้นหาความจริง  ความจริงเป็นสัจจะที่มีอยู่แล้วในคนทุกคนโดยไม่เกี่ยวข้องกับชาติ  ภาษา  หรือเครื่องแบบใดๆ  สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวคนทุกๆ คน  นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าพเจ้าเสาะหา  กระทั่งข้าพเจ้าได้ค้นพบมัน  เห็นมันโดยชัดเจน  และเข้าใจมันอย่างแจ่มแจ้ง  นั่นคือความสงบที่แท้จริง

            ความสงบมีสองชนิดด้วยกัน  ความสงบที่เป็นการไม่รู้จำเป็นต้องไปนั่งเงียบๆ  และนั่งอยู่คนเดียว  นั่นมิใช่ความสงบที่แท้จริง  ความสงบที่ข้าพเจ้าจะกล่าวแก่พวกเธอทั้งหลายในวันนี้นั้น  คือความสงบที่เราไม่ต้องออกแสวงหา  ทำไมเราจึงไม่ต้องออกแสวงหา  เพราะว่าเรารู้ที่สุดของทุกข์นี้เรียกว่าความสงบ  และเราไม่จำต้องไปศึกษาจากใครที่ไหนอีก  บัดนี้พวกเธอทุกคนโปรดตั้งใจฟังด้วยความระมัดระวัง

            แรกสุดนั้น  วิธีอันนำข้าพเจ้าไปพบกับความสงบที่แท้จริงโดยมิต้องจดจ่ออยู่กับจุดใดจุดหนึ่งเป็นพิเศษ  ข้าพเจ้าเพียงแต่ทำการเคลื่อนไหวและเพียงมีสติรู้สึกอิริยาบถและการเคลื่อนไหวทั้งหมด  เป็นต้นว่า  การยืน  การเดิน  การนั่ง  การนอน  การคู้  การเหยียด  และการเคลื่อนไหวทั้งหมด  เมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติด้วยวิธีนี้  และรู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหวของข้าพเจ้าทั้งหมด  ปัญญาได้เกิดขึ้นภายในจิตใจของข้าพเจ้า  ด้วยการรู้สึกที่ตัวของตัวเองมิใช่ที่ใครอื่น  ข้าพเจ้าได้รู้รูป  ข้าพเจ้าได้รู้นาม  ข้าพเจ้าได้รู้การกระทำของรูป  ข้าพเจ้าได้รู้การกระทำของนาม  ข้าพเจ้าได้รู้โรคของรูป ข้าพเจ้าได้รู้โรคของนาม

            รูปโรค-นามโรค  มี ๒ ชนิด  โรคในทางร่างกาย  เช่น  ปวดหัวหรือปวดท้อง  โรคชนิดนี้เราจะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์  แพทย์จะตรวจร่างกาย  และค้นหาสาเหตุของโรค  เมื่อรู้ถึงชนิดของโรคแล้วก็สามารถให้ยารักษาโรคนั้นได้  เราก็กลับเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง  โรคอีกชนิดหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อจิตใจคิดนึก  และเรารู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ  ดีใจหรือเสียใจ  โรคชนิดนี้ไม่สามารถเยียวยาได้โดยแพทย์ในโรงพยาบาล  แต่เราจำต้องมาศึกษาที่ตัวของเราเอง  กระทั่งเรารู้ถึงแหล่งที่มาของความคิด  ในการรักษาโรคชนิดนี้เราจะต้องศึกษาที่ตัวของเราเอง  จนกระทั่งเรารู้อย่างแท้จริง  เมื่อข้าพเจ้ารู้ที่มาของความคิด  ข้าพเจ้าได้ค้นพบความสงบ  แต่เป็นความสงบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราหยุดการแสวงหา  ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่น  นั่นเรียกว่าความสงบ

            ข้าพเจ้ายังคงกระทำความรู้สึกตัวที่ตัวเองมากขึ้น  ปัญญาได้เกิดขึ้น  และข้าพเจ้าได้รู้ทุกขัง  อนิจจัง  อนัตตา  (“ความทุกข์,  ความไม่เที่ยง,  ความไม่ใช่ตัวตน”)  และข้าพเจ้าได้รู้สมมติ  สิ่งสมมติไม่ว่าอะไรก็ตามที่ดำรงอยู่ในโลกนี้  รู้ให้หมด  รู้ให้จบ  รู้ให้ทั่ว  รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลกนี้  สิ่งที่เป็นสมมตินี้เรียกว่า  สมมติบัญญัติ  (การกำหนดขึ้นแห่งสมมติ)  ปรมัตถบัญญัติ   (การกำหนดขึ้นแห่งสิ่งที่สัมผัสอยู่)  อรรถบัญญัติ  (การกำหนดความหมายอันลึกซึ้งแห่งธรรมะ)  และอริยบัญญัติ   (การกำหนดร่วมกันแห่งผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมะ)  เราจะต้องรู้ถึงแบบแผนทั้ง ๔ นี้อย่างแท้จริงและอย่างสมบูรณ์  รู้มันให้จบจริงๆ  และรู้มันให้ทั่วจริงๆ

            ภายหลังจากที่ข้าพเจ้ารู้สมมติโดยสมบูรณ์แล้ว  ข้าพเจ้าได้รู้ศาสนา  ข้าพเจ้าได้รู้บาป  ข้าพเจ้าได้รู้บุญ  ข้าพเจ้าได้รู้สิ่งเหล่านี้ได้แท้จริง  ธรรมดาแล้วนั้นเรามันจะยึดติดในสมมติ  เช่น  การยึดติดความเป็นศาสนาฮินดู  ความเป็นพุทธศาสนา  ความเป็นศาสนาคริสต์  หรือความเป็นศาสนาอิสลาม  สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสมมติ  ศาสนาที่แท้จริงคือตัวคนทุกคน  พุทธศาสนาคือสติปัญญา  ซึ่งมีอยู่ในคนทุกคน  ข้าพเจ้าสามารถรับรองสิ่งนี้แก่เธอได้  เมื่อข้าพเจ้ารู้จักตัวเองนั้นข้าพเจ้าได้รู้ว่า  คนทุกคนก็เป็นเหมือนข้าพเจ้า  เพราะว่าทุกคนก็สามารถรู้ได้

            บัดนี้ข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงบาป  บาปคือบุคคลที่ไม่รู้จักตัวเอง  บาปที่หนักที่สุดในโลกก็คือบุคคลที่ไม่รู้จักตัวเองนั้นเอง  บุญคือบุคคลที่รู้จักตัวเอง  ใครก็ตามที่รู้จักตัวเองคือบุคคลผู้มีบุญ  และเป็นผู้ที่มีความสามารถกระทำตนเองให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ (อริยบุคคลได้อย่างแท้จริง นี้เรียกว่า  ความสงบ  การรู้จักตัวเองมิได้หมายความว่า  เรารู้ว่าเราเป็นชายหรือหญิง  เราคือนาย กหรือ นาย ข.  แต่การรู้จักตัวเองคือการมีสติในทุกๆ ขณะ  ไม่ว่าร่างกายจะเคลื่อนไหวอย่างไร  เรารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวนั้น  ไม่ว่าจิตใจคิดนึกอย่างไร  เราก็รู้สึกถึงความนึกคิดนั้น

            บุญคือบุคคลที่รู้จักตัวเอง
            ใครก็ตามที่รู้จักตัวเองคือบุคคลผู้มีบุญ
            และเป็นผู้ที่มีความสามารถกระทำตนเอง
            ให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ (อริยบุคคล)
            ได้อย่างแท้จริง


            การเฝ้าดูความคิด
            โดยไม่พยายามไปทำ
            หรือจัดการอะไรกับมัน
            เพียงแต่ดูมันเฉยๆ
            และปล่อยมันไป
            นี้คือหนทางของอิสรภาพจากทุกข์


            ความรู้สึกตัวนี้เกิดขึ้นจากกฎของธรรมชาติโดยแท้  เมื่อความคิดเกิดขึ้น  เราเห็นมัน  รู้มัน  และเข้าใจมัน  เมื่อเราเห็นความคิดก็จะหยุดด้วยตัวของมันเอง   เมื่อความคิดหยุดลง  ปัญญาก็เกิดขึ้น  และเรารู้ถึงที่มาของ  โทสะ  โมหะ  โลภะ  เรารู้ว่า  โทสะ  โมหะ  โลภะ  มิใช่เป็นตัวของเรา ขณะใดที่เราไม่ได้เห็นชีวิตของเราเอง  ไม่เห็นจิตใจของเราเอง  ขณะนั้นเราขาดความรู้สึกตัว  เราลืมตัวของเราไป  เมื่อเราขาดความรู้สึกตัว  โทสะ  โมหะ  โลภะ  ก็เกิดขึ้น  เมื่อมันเกิดขึ้น  เราจึงเป็นทุกข์  คนทุกคนเกลียดทุกข์  แต่เราไม่รู้จักทุกข์  เราจึงแสวงหาความสงบ

            ดังนั้นเราจึงไม่อาจหาความสงบได้โดยการนั่งเพียงอย่างเดียว  นั้นมิใช่หนทางไปสู่ความสงบ  ความสงบที่ข้าพเจ้าหมายถึงนั้นเป็นความสงบที่เป็นอิสระจากโทสะ  อิสระจากโมหะ  อิสระจากโลภะ  และความสงบชนิดนี้อยู่ในคนทุกคนโดยไม่ยกเว้น  เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว  ข้าพเจ้าจึงสามารถรับรองได้ว่า  ทุกๆ คนก็อาจเข้าถึงความสงบนี้ได้ไม่ว่าชาติใด  ภาษาใด  หรือศาสนาใด  ไม่ว่าเธอจะเป็นชาวฮินดู  ชาวพุทธ  ชาวคริสต์  ชาวมุสลิม  หรือศาสนาใดๆ ก็ตาม  เธอสามารถเรียนรู้ตัวเองได้  เพราะว่าทุกๆ คนต่างก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน  พวกเธอทั้งหมดที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้  และกำลังฟังข้าพเจ้าพูดอยู่นี้  จิตใจของพวกเธอทุกๆ คนก็เป็นเช่นนี้  ชีวิตจิตใจของเรามีความสะอาด  สว่าง  และสงบอยู่แล้ว  แต่เมื่อเราพูดว่าจิตใจสะอาด  สว่างและสงบนั้น  เราเพียงจำคำพูดมาจากคนอื่น  เราไม่ได้เห็นมันจริงๆ  เมื่อเราเห็นมันอย่างแท้จริงนั้น  เราจะสามารถยืนยันรับรองได้ว่าสิ่งนี้มีอยู่แล้วในคนทุกคนและทุกคนถ้าปฏิบัติอย่างจริงจัง  เขาจะต้องรู้  เขาจะต้องเห็น  และเขาจะต้องมีมัน

            เมื่อเรารู้และเห็น  เราก็จะรับรองได้ว่า  คำสอนนี้สามารถใช้ได้กับทุกๆ คน  ในทุกชนชั้น  และในทุกวัย  เศรษฐีก็สามารถปฏิบัติได้  คนที่ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียวหรือสตางค์แดงเดียวก็สามารถปฏิบัติได้  คนที่มีการศึกษา  ที่มีปริญญาก็สามารถปฏิบัติได้  คนที่ไม่รู้หนังสือก็สามารถปฏิบัติได้เช่นเดียวกัน  ข้าพเจ้าสามารถยืนยันจุดนี้ได้จริงๆ  แต่เราจะต้องรู้วิธีที่ถูกต้อง  และเข้าไปในจิตใจของเรา

            พวกเธอทั้งหมดที่ฟังข้าพเจ้าพูดในบัดนี้  โปรดดูเข้าไปในจิตใจของเธอ  และเธอจะรู้ถึงลักษณะอาการของจิตใจ  อุปมาดั่งเมล็ดของผลไม้ใดๆ  ถ้าเราเพาะลงในดินที่ชุ่มชื้น  ภายใต้เงื่อนไขที่ดีมันก็จะผลิต้นอ่อนขึ้นมา  เมล็ดข้าวเจ้าหรือเมล็ดข้าวเหนียวหรือเมล็ดข้าวใดๆก็ตาม  ที่เราปลูกไว้อย่างดีแล้ว  มันก็จะแตกช่อเติบโตขึ้นมา  บุคคลก็เช่นเดียวกัน  ถ้าเขาฟังและเข้าใจและนำไปปฏิบัติเขาก็จะรู้  เมื่อเราไม่รู้และไม่เข้าใจ  ก็เปรียบเหมือนกับเมล็ดข้าวที่ลีบ  หรือเปรียบเหมือนกับเมล็ดข้าวเปลือกที่ไม่มีเนื้อใน  เมื่อเรานำไปปลูกตามท้องนา  มันจะไม่งอก  มันจะไม่ขึ้น  เช่นเดียวกับกรณีของคนที่ไม่รู้จักตัวเองอย่างแท้จริงและมาสอนบุคคลอื่น  บุคคลอื่นก็ย่อมไม่รู้ตามด้วย

            ข้าพเจ้าจะอุปมาให้ฟังอีกอย่างหนึ่ง  สมมติว่าในตอนกลางวันแสงแดดส่องสว่าง  เมื่อใดก็ตามที่เมฆมาบดบังดวงอาทิตย์  แสงอาทิตย์ก็จะมืดมัวลง  แต่ที่จริงแล้วดวงอาทิตย์ก็ยังคงสว่างไสวอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา  จิตใจของเราเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์  มันสะอาด  สว่าง  และสงบ ดุจดังดวงอาทิตย์ตลอดเวลา  แต่เมื่อใดก็ตามที่เราพลัดออกจากต้นกำเนิดของชีวิตจิตใจของเรา  เราก็จะไม่เห็นพระพุทธเจ้า  เราก็จะไม่รู้จักพุทธศาสนา  เราก็จะค้นหาความสงบไม่พบ  เมื่อเราไม่รู้เราก็ออกเสาะหาครูอาจารย์  แต่นั้นก็เป็นเรื่องสำหรับบุคคลผู้ไม่รู้

            ถ้าเธอต้องการความสงบ  หรือพุทธะ  เธอไม่จำต้องทำอะไรมาก  เพียงแต่กลับมาดูต้นตอของชีวิตเธอเอง  เมื่อความคิดเกิดขึ้นอย่าเข้าไปในความคิดนั้น  แต่ให้ตัดความคิดทิ้ง  และให้ออกจากความคิดในทันที  ทำให้เหมือนแมวกับหนู  เมื่อหนูมาแมวกระโดดตะครุบหนูทันที  ความคิดก็เช่นเดียวกัน  เมื่อมันคิด  สติหรือปัญญาจะรู้ทันที  ความคิดก็หยุด  ทำเช่นนี้อยู่บ่อยๆ  หรือเปรียบเหมือนกับนักมวย  เมื่อเราเผชิญหน้าคู่ต่อสู้เราจะต้องชก  เราชกที่ตาของคู่ต่อสู้  คู่ต่อสู้ก็จะแพ้เรา  โทสะ  โมหะ  โลภะ  ก็เป็นเช่นเดียวกัน  เมื่อเรามาถึงจุดนี้  พระพุทธเจ้าก็จะเกิดขึ้นในตัวของเรา

            พุทธะ  คือจิตที่สะอาด  จิตที่สว่าง  จิตที่สงบ  เราทุกคนไม่มีใครที่จะโกรธตลอด ๒๔ ชั่วโมง  ไม่มีใครที่จะโลภตลอด ๒๔ ชั่วโมง  เพียงเพราะโมหะเท่านั้น  ที่ทำให้เราไม่รู้  เมื่อเรามารู้ที่จุดนี้  เราก็จะรู้ยิ่งขึ้นๆ  ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ  เหมือนกับการเทน้ำลงไปในขวด  น้ำในขวดจะเต็มขึ้นมา  เมื่อน้ำเต็มถึงขอบแล้ว  เราก็ไม่สามารถจะใส่อะไรลงไปได้อีก  สติ  สมาธิ  ปัญญา  ก็เป็นเช่นเดียวกัน  นี้เรียกว่าความสงบในพุทธศาสนา  หรือจะเรียกว่าความสงบในศาสนาคริสต์  หรือจะเรียกว่าอะไรๆ ก็ได้ตามแต่เราจะเรียก  จะเรียกว่ากัป  ว่ากัลป์  ก็ได้

            ความจริงมีอยู่ในคนทุกคน  เมื่อบุคคลรู้ถึงความจริงนี้  เขาก็จะอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่มีทุกข์  เขาก็จะทำงานต่างๆ ได้โดยไม่มีทุกข์  ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นครู  หรือพ่อค้า  หรือพ่อ  แม่  หรือคนงานก็ตาม  เพียงแต่เขามารู้วิธีปฎิบัติ  และมาถึงที่สุด  ความทุกข์ก็จะหดหายไปเอง  เปรียบเหมือนกับปลิงที่เกาะบนผิวหนังของเรา  เราไม่จำเป็นต้องดึงมันหรือแกะมัน  เพียงแต่นำปูนกินหมากกับใบยามาผสมเข้าด้วยกันกับน้ำ  แล้วบีบลงบนตัวปลิง  ปลิงก็จะหลุดไปด้วยตัวของมันเอง  เมื่อเรามารู้จุดนี้  เราจะหมดความสงสัย  และเราไม่ต้องเสาะหาครูอาจารย์ที่ไหนอีก  เราจะรู้ว่าที่สุดของทุกข์อยู่ที่นี่แล้ว

            วันนี้ข้าพเจ้าได้พูดถึงเรื่องความจริงพอสมควรแก่เวลา  ข้าพเจ้าจะขอยุติการพูดในบัดนี้  ใครที่มีปัญหาสงสัย  ขอได้โปรดซักถามตามความสะดวก

            ผู้ฟัง ทำไมคนเราถึงได้เป็นโรคประสาทกันครับ

            หลวงพ่อ เพราะว่าเราคิดมาก  และเราไม่เคยเห็นความคิด  เราดูแต่สิ่งที่นอกตัวเรา  ว่าคนนี้รวย  คนนั้นจน  คนนี้สวย  คนนั้นไม่สวย  คนที่มีรถก็คอยดูรถของตัวเอง  คนที่มีเพชรก็ดูเครื่องเพชรของตัวเอง  คนที่มีนาฬิกาก็คอยดูนาฬิกาของตัวเอง  เขาเหล่านั้นไม่เคยเห็นชีวิตของตนเอง จิตใจของตนเอง  นี้คือโมหะ  การดูจิตใจของเราเองอย่างแจ่มชัดโดยที่ไม่ติดข้องกับการเคลื่อนไหวของมัน  การเฝ้าดูความคิดโดยไม่พยายามไปทำหรือจัดการอะไรกับมัน  เพียงแต่ดูมันเฉยๆ และปล่อยมันไป  นี้คือหนทางของอิสรภาพจากทุกข์  อิสรภาพจากโรคประสาททั้งปวง

            ดังนั้นเราจึงควรเจริญสติ  “เจริญ”  แปลว่าทำให้มาก  เมื่อสติเพิ่มขึ้น  ความสามารถที่จะเจาะทะลวงเข้าไปในจิตใจ  และเปิดเผยจิตใจก็เพิ่มขึ้นด้วย  ถ้าเราเพียงแต่รักษาศีล  หรือภาวนาทำความสงบ  มันก็ยังคงไม่ปลอดภัย  เปรียบเหมือนกับการจุดเทียนไขในถ้ำที่มืด  ความมืดได้หายไปเพียงเล็กน้อย  แต่มันยังคงอยู่ที่นั่นกับเรา  เราก็ยังคงอยู่ในที่มืด  และเมื่อเทียนไขหมดลง  ความมืดก็เข้ามาปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างอีกครั้งหนึ่งในทันที  ดังนั้นเราจึงควรที่จะออกจากถ้ำด้วยการมีสติตลอดเวลาในทุกๆ อิริยาบถของการเคลื่อนไหว  นี้คือวิธีที่ง่าย  ทุกคนสามารถทำได้  และสามารถปฏิบัติได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง

            ผู้ฟัง เมื่อเราเห็นความคิดและที่มาของความคิด  ความทุกข์และความตึงเครียดนานาประการจะหมดสิ้นลงหรือไม่

            หลวงพ่อ ยังไม่หมดสิ้น  เพราะว่าเราเพียงแต่รู้มันแต่เรายังไม่ทำอะไรกับมัน  เราเพียงแต่รู้และเห็นความคิด  เราเพียงแต่รู้ที่มาของความคิด  แต่บางครั้งเราก็หลงออกจากทาง  ตัวอย่างเช่น  แต่ละวันเราอาจจะรู้มัน ๑๐ ครั้ง  แต่การไม่รู้มีมากกว่า  ดังนั้นจึงยังไม่ใช่ที่สุด  แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายโมหะที่ต้นตอของความคิด

            ผู้ฟัง กระผมอยากจะเรียนถามว่าในระหว่างการปฏิบัติของหลวงพ่อ  ก่อนที่จะมาถึงที่สุด  มีจุดไหนบ้างไหมที่ท่านเกิดความสงสัยขึ้นมา  และมีสัญญาณอะไรบ้างไหมที่ทำให้ท่านหายสงสัยว่ายังมีโมหะอยู่อีกหรือไม่

            หลวงพ่อ มีสัญญาณ  แต่ไม่ใช่สัญญาณในทางวัตถุ  สัญญาณก็คือเราเห็นตัวเรา  และเราไม่มีโมหะ  เหมือนดังเปิดของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น  หรือเหมือนเปิดเผยบางสิ่งซึ่งถูกปิดบังและซ่อนเร้นไว้  มีเพียงบุคคลที่มาถึงจุดนี้เท่านั้นที่จะรู้  และที่จะหายสงสัยในทันที  เราไม่จำเป็นต้องพูดถึงโทสะ  โมหะ  โลภะ  เพราะว่ามันเป็นสิ่งสามัญเป็นเรื่องที่ตื้น  เมื่อเราพูดถึงเรื่องการเห็นความคิด  คนส่วนใหญ่รู้ความคิด  แต่ไม่เห็นความคิด  เมื่อเรารู้ความคิด  ความคิดก็ยังคงดำเนินต่อไป  และเราหลงทางในการต่อเนื่องของความคิด  เรามีโมหะในความคิด  โทสะ  โมหะ  โลภะ  จึงมาที่จุดนี้  ด้วยเหตุนี้บุคคลที่รู้ความคิดจึงยังคงมีโทสะ  โมหะ  โลภะ

            ผู้ฟัง ในการเห็นความคิดนั้น  จิตใจมันพูดอยู่ข้างในหรือไม่

            หลวงพ่อ ไม่  จิตใจไม่ได้พูดอยู่ข้างใน  เมื่อเราเห็นมัน  มันก็หลุดออก  เหมือนดังปลิง  เมื่อเรารู้ความคิดก็เหมือนกับพยายามที่จะดึงปลิงออกจากผิวหนัง  แต่เมื่อเราเห็นมันอย่างแท้จริง  เราไม่จำเป็นต้องไปดึงปลิง  เพียงแต่นำใบยาและปูนกินหมากผสมกับน้ำ  บีบลงบนตัวปลิง  และปลิงจะหลุดของมันเอง  ดังนั้นถ้าเรารู้จริงแล้วเราก็ไม่ต้องไปฟังใครที่ไหนอีก  เหมือนดั่งที่พวกเราทั้งหลายนั่งกันอยู่ ณ ที่นี้  ในขณะนี้  เราไม่มีโทสะ  หรือโลภะ  จะมีก็เพียงโมหะ  เพราะเราไม่เห็นชีวิตของเรา  เมื่อเราเห็นและรู้ชีวิตของเราเองทุกเวลา  โทสะ  โมหะ  โลภะ  ก็ไม่สามารถจะเกิดได้  ดังนั้นจิตใจของเราจึงมีความสะอาด  ชีวิตของเรามิใช่สิ่งสกปรก  ไม่มีสัญญาณใดๆ  ในภายนอก  คนอื่นไม่สามารถที่จะเห็นได้  แต่เรารู้และเห็นตัวของเราเอง

            ผู้ฟัง หลวงพ่อบอกว่าเมื่อเราเห็นความคิด  ความคิดจะหยุดในทันที  กระผมยังไม่แน่ใจในเรื่องนี้  ถ้ามันเป็นจริง  กระผมใคร่จะเรียนถามว่า  เมื่อเราเห็นความคิดและความคิดหยุด  เราจะรู้ความคิดตัวต่อไปได้หรือไม่

            หลวงพ่อ อย่าไปสนใจความคิดอันต่อไป  ให้เพียงเห็นความคิด  มันจะหยุดโดยตัวของมันเอง  อย่าไปสนใจว่าความคิดมาจากไหน  เมื่อเราเห็นมัน  โทสะ  โมหะ  โลภะ  ก็ไม่อาจเกิดได้

            ผู้ฟัง หลวงพ่อสอนให้ดูความคิด  ถ้าเช่นนั้นใครกันที่เป็นผู้ดูความคิด

            หลวงพ่อ อย่าไปหาตัวผู้ดู  และเราจะเห็นว่าตนเป็นที่พึ่งของตน  และนั่นคือที่พึ่งอันแท้จริง  เราอาจบอกว่าคนเป็นผู้ดู  หรือเราอาจบอกว่าปัญญาเป็นผู้ดู  แล้วแต่เราจะพูดเพราะว่าไม่มีตัวตนที่เราสามารถจับเอามาดูได้  การเห็นและการรู้เป็นสองสิ่งที่แตกต่าง  การรู้คือการเข้าไปในความคิด  และความคิดก็คงดำเนินต่อไป

            ผู้ฟัง กระผมได้ฟังหลวงพ่อมาและมีความรู้สึกว่าความคิดและอารมณ์  เช่น  ดีใจหรือเสียใจ  เป็นบางสิ่งที่อยู่ภายนอก  เหมือนดังข้าวกับแกง  ซึ่งเราสามารถทำประโยชน์  เราสามารถเอามารับประทาน  เราสามารถเห็นมัน  แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในตัวเรา  เราไม่สามารถเห็นมันได้ ไม่ว่าความคิดหรืออารมณ์  ข้อนี้ไม่ใช่เป็นคำถาม  แต่กระผมใคร่จะให้หลวงพ่อช่วยทำให้กระจ่างขึ้น