วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

เพลงดาบแห่งใจ


เพลงดาบแห่งใจ                                          ทาสา  ชา บ่าว  :  เขียน
                                                              บรรณาธิการนักคิดอาวุโส


เด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นเด็กบ้านนอกห่างไกลแต่ด้วยใจมุ่งมั่นหวังที่จะเป็นนักดาบฝีมือดี  เขาจึงผลักดันตนเอง  ขายบ้าน  ทิ้งไร่ขายนา  นำพาชีวิตมาอยู่ในสำนักดาบ  เขาได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของสำนักดาบที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง  เจ้าสำนักนั้นเป็นผู้เยี่ยมวรยุทธ  ทั้งเป็นผู้ที่เหล่าชาวยุทธให้ความนับถืออย่างยิ่ง  เพราะนอกจากฝีมือดาบอันเป็นเลิศและยากจะหาผู้เปรียบเท่านั้น หากยังเป็นผู้นำคนสำคัญของชาวยุทธในการผดุงไว้ซึ่งคุณธรรม  มีหน้าที่ปราบเหล่ามาร  เหล่าอสูรของยุทธภพด้วย

การได้รับโอกาส  ในสำนักดาบชื่อดังทำให้นักดาบหนุ่ม  กระตือรือร้นอย่างมาก  เขาทำงานและฝึกฝนเรียนรู้  อย่างอุทิศตัว  หาโอกาสปรนนิบัติรับใช้ท่านเจ้าสำนักอยู่เนืองๆ  ด้วยความสามารถของนักดาบหนุ่มผนวกกับความซื่อสัตย์ภักดีทำให้เจ้าสำนักโปรดปรานเขาเป็น อันมาก  เจ้าสำนักเคยบอกว่าท่านรู้ด้วยญาณทัสนะว่าที่แท้แล้ว  นักดาบหนุ่มนั้นเคยเป็นบุตรของท่านในชาติปางก่อน  ความรักใคร่ผูกพันแต่อดีตชาติ  ทำให้ลูกนั้นแม้ไปเกิดในถิ่นกันดารใดๆ  ก็ยังดั้นด้นค้นหาบิดาจนพบ

นักดาบหนุ่มจึงเป็นคนโปรด  คนพิเศษที่เจ้าสำนักรับรอง  ท่านสอนกระบวนท่าพิเศษให้แก่เขาหลายกระบวน  ทั้งยังประกาศต่อเหล่าศิษย์ทั้งหลายในสำนัก

“บัดนี้  ข้าขอแต่งตั้งให้นักดาบหนุ่มเป็น “ศิษย์เอก”

เป็นศิษย์ผู้พี่ของพวกเจ้า  เขาจะเป็นผู้สืบทอดเพลงดาบของข้า  ศิษย์เอกของข้าผู้นี้จะเป็นผู้นำในการปกครองยุทธภพ  มีหน้าที่กำจัดเหล่าอธรรมให้หมดสิ้นไป  และศิษย์เอกของข้าจะนำเอาเกียรติยศ  ชื่อเสียง  และความยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในยุทธภพ  มาสู่สำนักของพวกเรา”  พูดจบท่านก็หัวเราะอย่างถูกใจและอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

นักดาบหนุ่มเข้ารับตำแหน่งด้วยความภาคภูมิใจ  เมื่อนึกย้อนกลับไปจากเด็กบ้านนอกไม่ประสีประสา  บัดนี้เขาขึ้นมาเป็นศิษย์เอกของนักดาบที่มีชื่อเสียงที่สุด

“โอ! ข้าก้าวมาสู่ตรงนี้ได้อย่างไรกันนะ  ช่างดีแท้จริงเชียว”  คิดพลางเขาก็ยิ้มไปพลางในหัวใจของนักดาบหนุ่มปลาบปลื้ม  เหลือจะพรรณา

ดังนั้นแล้วในวันหนึ่งๆ  เขาจึงทุ่มภายเทใจ  ทำงานทุกอย่างแทนเจ้าสำนักงานสิ่งใดที่จะทำให้สำนักดีขึ้นเขายินดีทำหมด  ไม่ว่าจะเป็นการก่อร้างสร้างอาคารสำนัก  การดูแลผู้คน  และรวมถึงการระดมทุนทรัพย์เพื่อเสริมเอาความยิ่งใหญ่สถาพรของสำนักมาสู่  แต่การงานของเขาหาได้จำกัดอยู่ที่งานภายในสำนักเท่านั้น  หน้าที่สำคัญที่ได้รับมอบหมาย  คือการนำไพร่พล  ศิษย์ร่วมสำนักไปปราบเหล่านักดาบนอกรีต  หรือพวกบรรดาสำนักดาบเถื่อนๆ  ที่เห็นผิดเป็นชอบ

ด้วยความหวังว่าการเข้าไปจัดระเบียบสังคมขาวยุทธ  จะทำให้สัจจะหนึ่งเดียวของท่านเจ้าสำนักได้เป็นที่ยอมรับนับถือ  อย่างแพร่หลายที่สุด
คราวหนึ่งที่เขาออกตรวจตราก็ผ่านไปพบ  นักดาบกระจอกคนหนึ่ง  ดูแล้วเป็นนักดาบมิจฉาทิฏฐิแน่ๆ  โดยมิรอช้า  นักดาบหนุ่มกระชากดาบออกจากฝัก  พุ่งทะยานเข้าหานักดาบกระจอก  เพียงไม่กี่กระบวนยุทธเขาก็สามารถสยบนักดาบมืออ่อนนั้นได้ ขณะกำลังเอื้อดาบหมายปลิดชีวิต  นักดาบกระจอกก็ร้องขอชีวิตเสียงเหมือนคนใกล้ตาย  เอ่ยถ้อยคำขาดๆ
ห้วนๆ

“ไว้ ไว้ นะ ไว้ชีวิตข้าเถิด  เจ้าหนุ่ม  เออ...เออ  บางทีเจ้าอาจ..อาจจะรับใช้จอมมารอสูรอยู่ก็..ก็”

ยังไม่ทันจบประโยคหรือสิ้นเสียง  หัวของนักดาบกระจอกก็หลุดจากบ่า

“ชิ... เจ้าโง่  มือชั้นต่ำ  กล้ามาสั่งสอนสิ่งอันไร้สาระแก่ข้าโดยแท้  รนหาที่ตายจริงๆ”

สิ่งต่างๆ  ในชีวิตของนักดาบหนุ่มล้วนดำเนินไปอย่างราบรื่น  เขาสามารถจัดการบริหารงานและเรียนรู้งานในสำนักโดยไม่ยาก  ทั้งรู้สึกว่าวิชาดาบของตนก็แกร่งกล้า  ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  เพราะว่าสำหรับเขาแล้วมิว่าจะต้องประลองดาบกับผู้ใดทั้งในและนอกสำนัก  เขาย่อมหยิบยื่นความปราชัยให้คู่ประลองทุกครั้งไป  ความสามารถเพลงดาบที่เหี้ยมหาญหนักหน่วง  อันไม่มีผู้ใดต้านทานได้  เขาถือได้ว่าเป็นนักดาบขั้นยอดแล้ว  จะเป็นรองก็เพียงอาจารย์เจ้าสำนักเท่านั้น

ก็จะมีอะไรน่าพึงพอใจสำหรับผู้แสวงหา  เมื่อได้มาถึงจุดหมายปลายทางเสียที  วันแห่งการผ่อนพักสบายๆ  วันแห่งการพึงพอใจต่อทุกสิ่งอย่างที่มี  ที่เป็นและที่ได้มา

ในบ่ายวันหนึ่งภายหลังการฝึกหนักของช่วงเช้า  นักดาบหนุ่มจึงงีบหลับ  เป็นเวลาพักผ่อน  ขณะกำลังเคลิ้มหลับกลับได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาในห้องข้างๆ  เสียงนั้นแม้เบามาก  แต่ด้วยการฝึกมาดี  เขาก็ได้ยินชัดเจน  เขารีบพลิกตัวในคืบคลานตามเสียงฝีเท้านั้น

“เสียงนั้นมาจากห้องอาจารย์นี่”

นักดาบหนุ่มเอ่ยกับตัวเองเบาๆ  มีศัตรูคิดปองร้ายท่านหรือ  เพียงเป็นหัวขโมยที่หมายฉวยของมีค่ายามที่ท่านไม่อยู่  เขาย่องเงียบแย้มประตูห้อง  ภาพที่เห็นประจักษ์แก่สายตา  ทำให้ใบหน้าของนักดาบหนุ่มถึงกับบิดเบี้ยวไปมาคล้ายถูกปีศาจหลอน เขาชะงักงงงันทำอะไรไม่ถูก  ภาพนั้นเป็นภาพเจ้าสำนักกำลังถอดหน้ากาก  หน้ากากของจอมมารอสูร  จอมมารที่ทั่วยุทธภพต้องการตัวและทำลายเสีย  ที่แท้แล้ว  ท่านคือจอมมาร
นักดาบหนุ่ม สับสนอย่างที่สุด

“เป็นไปไม่ได้  ไม่จริง  ข้าไม่เชื่อ”

แม้สิ่งที่เห็นกับตาตรงหน้า  แต่ทว่าที่นักดาบหนุ่มจะตัดสินในทำอะไรได้
เจ้าสำนักก็รีบเก็บหน้ากากอย่างมิดชิด  แล้วกระโดดออกไปจากห้องพัก  พร้อมจ้องมองมาที่นักดาบหนุ่ม  แววตาอันอารีย์ของผู้เป็นคล้ายบิดา  แปรเปลี่ยนเป็นอาฆาตร้ายแรงหมายเอาชีวิตของศัตรู  เจ้าสำนักร้องตะโกน

 “พวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่เดี๋ยวนี้  อ้ายศิษย์ทรยศมันคิดจะสังหารข้า  เพราะข้าจับได้ที่มันแอบขโมยของมีค่าในห้องพัก  พวกเจ้าจงจับมันเอาไว้แล้วฆ่าทิ้งเสีย”

เจ้าสำนักทั้งร้องตะโกนทั่งสบถ

“อ้ายคนไร้ค่า  ฆ่ามันให้ตาย”

นักดาบหนุ่มหนีตาย  วิ่งไปร้องไห้ไปด้วยอย่างกระเซอะกระเซิงไร้กระบวนท่า  ยิ่งวิ่งยิ่งไกลออกไป  เขารู้สึกอ่อนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ  ความรู้สึกท่วมท้นไปด้วย   ความตกใจ  ท้อแท้  ผิดหวังและสับสนที่สุด แต่ก็จำต้องวิ่งโดยไม่เหลียวหลังมอง  วิ่งๆ  วิ่งหนีไปให้ไกลแสนไกล  ไกลจากความจริงอันเจ็บปวดที่มิอาจรับได้

“มันเป็นไปได้อย่างไร  อาจาร์ยที่ข้ารักที่สุด  ดุจพ่อบังเกิดเกล้า  ผู้ที่ข้าไว้ใจที่สุดที่แท้แล้ว คือ จอมมาร”

แล้วน้ำตาก็เอ่อล้นปิดบังการเห็นหนทาง  มองเห็นทางมัวๆ  ครั้นหนีมาได้พักใหญ่  กลับพบว่า  ตนหลงมาสู่ดงป่าไผ่เขียว  ที่นั่นเหล่าเพื่อนพ้องน้องพี่ศิษย์ราชสำนักมารอรับเขาอยู่  ทุกคนมีอาวุธครบมือ  ต่างเข้าปิดล้อมนักดาบหนุ่มในทุกทิศทาง  เขาตกอยู่ในวงล้อม  ศิษย์ร่วมสำนักต่างรู้ดีว่านักดาบหนุ่มมีฝีมือเช่นไร  จะเอาชนะแบบตัวต่อตัวย่อมเป็นไปไม่ได้  แม้ในยามที่นักดาบหนุ่มอ่อนแรง  พวกนั้นฉลาดพอที่จะรุมโจมตี  นักดาบหนุ่มพร้อมๆ  กัน

นักดาบหนุ่มไม่สามารถปกป้องตนเองได้ทัน  อาวุธต่างๆ  กระหน่ำเข้ามา  เขาถูกแทงจากข้างหลัง  ถูกฟาดฟันที่ไหล่ขาด  ขาด้านซ้ายก็ถูกคมดาบเป็นแผนกว้าง  เลือดไหลเป็นทางยาว  มือที่จับดาบก็ถูกฟันจนถือดาบไม่ไหว  เจ็บปวดและอ่อนแรงที่โดนกระหน่ำซ้ำเติม  เขากำลังเพลี่ยงพล้ำแล้วคราวนี้  คงไม่รอดเสียแล้วละ

แต่ทันใดนั้น  พลันมีเสียง  พรึบ!  เสียงดังคล้ายเสียงกระพือปีกของนกยักษ์  พวกศิษย์ร่วมสำนักดูแทบไม่ทัน  สิ้นเสียงนั้นก็คล้ายมีลมวูบพัดหอบใหญ่ปรากฏเป็นบุรุษลึกลับวิ่งฝ่าดงดาบด้วยมือเปล่า  เคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายลม  หลบเข้าไปในช่องว่างของการโจมตี  จับฉวยเอาคอเสื้อของนักดาบหนุ่มหอบหิ้ว  เอาร่างอันบอบช้ำนั้น  หายลับไปกับตา

พวกศิษย์ร่วมสำนักพากันตกตะลึง  ทำอะไรไม่ถูก  ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ  เกิดอะไรขึ้น?  เหยื่อที่ถูกรุมจู่ๆ  ก็มีผู้ฉกฉวยไป  เสียดายจริงๆ  เจ้าคนทรยศ  มันหลุดรอดไปได้

ครั้นนักดาบหนุ่มรู้สึกตัวก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในกระท่อมกลางป่าที่เงียบเชียบ  มองออกไปทางหน้าต่าง  เห็นเป็นดงป่าไผ่สีทองล้อมรอบ  เขาพยายามขยับตัวก็รู้สึกเจ็บปวดไปหมด  เจ็บปวดจนทั่วร่าง  มองดูร่างกายตนก็เห็นผ้าพันแผล  สีขาวอย่างผ้าดิบ  ผืนผ้าเป็นรอยด่างจากยาสมานแผลเปรอะซึมไปทั่วผืนผ้า  ความเจ็บปวดที่ระบมปวดนั้นยังน้อยนัก

หากเปรียบเทียบกับความปวดร้าวในหัวใจ

“นี่ข้าฝันไปหรือนี่”

"คนที่ข้ารักที่สุด  คนที่ข้าเทิดทูนเสมือนบิดาแท้ๆ  คนที่ข้าภักดี  ที่กราบไหว้อย่างสนิทใจ  และทำงานถวายหัว  พอถึงเวลาหนึ่งกลับทำกับข้าถึงเพียงนี้”

ความเศร้าลึก  ปกคลุมเคล้าดวงจิตของนักดาบหนุ่ม  เขารู้สึกหนักอึ้งด้วยความผิดหวังร้ายแรง  กับศรัทธาที่แตกสลายในหัวใจ  ชายหนุ่มรู้สึกไร้เรี่ยวแรง  ท้อแท้และหมดพลังชีวิต

เขาคิดว่าโลกนี้ไม่มีอะไรหลงเหลืออีกแล้ว  ความดี  ความงาม  และความจริงบนโลกใบนี้ที่แท้แล้ว  คือ  ความชั่วช้า  ความอัปลักษ์และปะปนไปด้วยความไร้สัจจ์

“ข้าจะไม่เชื่อใครอีกแล้ว”

น้ำตาของนักดาบหนุ่มพลันกลั่นไหลอาบทาใบหน้าของเขาจนเปียกชุ่ม  ในหัวของเขามีแต่เรื่องราวเหล่านี้วนไปเวียนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จนหลับสลบไสลไป

มารู้สึกตัวอีกครั้งก็รุ่งสางของวันใหม่  กลิ่นควันไฟจางๆ ลอยล่องเข้ามาในกระท่อม  ภาพเลือนรางคล้ายฝัน  ความเศร้าโศก  เคล้าปนอยู่ในอากาศ  ภาพเบื้องหน้าเป็นภาพของบุรุษผู้หนึ่งกำลังหุงหาอาหาร  ร่างเขาที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างช้าๆ  แต่สม่ำเสมอ  นักดาบหนุ่มพยุงร่างกาย  ค่อยๆ  พาเอาร่างบอบช้ำนั้นเดินไปหาคนทำอาหาร

“เจ้ายังบาดเจ็บนัก  กลับไปนอนเสียเถิด”

น้ำเสียงของบุรุษนิรนามเปี่ยมด้วยความเป็นมิตร  และรู้สึกถึงความเข้าใจในความทุกข์ยากของเขาปนอยู่ด้วย

“ครับ”  ชายหนุ่มรับคำอย่างว่าง่ายและกลับไปนอนพัก

เมื่อได้พักพิษบาดแผลจึงค่อยบรรเทา  เพียงแต่แผลในใจคนเรานั้นบางทียากจะสมาน  ใครไม่เคยเป็น  ไม่เคยเจ็บ  ย่อมไม่รู้สึก  แต่คนเราเจ็บแล้วต้องจำ

นักดาบหนุ่มค่อยๆ  ฟื้นตัวดี  บุรุษนิรนามที่นอกจากจะพยาบาลแผลให้แล้ว  ครั้นที่เขาค่อยๆ  หายดี  ยังสอนวิชาดาบแบบใหม่ให้เขาด้วย  แต่ท่านสอนแปลกออกไป  ดาบที่ฝึก  หาใช่ดาบที่คมแข็งกล้าแบบเดิม ทว่าเป็น  “ดาบไม้”  การเคลื่อนไหวของไม้ดาบเป็นการเคลื่อนไหวที่ผ่อนคลายแต่มีความหนักแน่นจากรากฐานภายใน

คราวนั่งพักระหว่างการฝึก  บุรุษนิรนามเล่าให้ฟังว่า  ครั้งที่เขายังหนุ่มแน่น  เหมือนนักดาบหนุ่ม  เขาก็เปี่ยมด้วยการแสวงหาและทะเยอทะยานมาก  เป็นคนหนุ่มที่มีความหวัง  ออกแสวงหาครูจากทุกทั่วสารทิศ  จากทุกสำนัก

“ข้าไปมาทุกสำนัก  ใครว่าผู้ใดมีวิชาดาบสูงส่ง  ข้าเป็นต้องไปหา”

บุรุษนิรนามเล่าว่า  ด้วยความกล้าบ้าบิ่นของเขาได้ยินไปถึงผู้อาวุโสท่านหนึ่ง  จนวันหนึ่งเขาได้รับจดหมายเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับมิตรอาวุโสท่านนั้น

“เวลานั้นข้าห้าวมากๆ”  เขาทอดเสียงช้าลง  “เจอใครข้าเป็นได้ท้าประลองไปหมด  มิใช่ว่าข้าชอบชนะดอก  แต่ทว่าข้าประสงค์จะเจอะเจอกับผู้มีวิชาเหนือข้าจริงๆ  และต้องการเรียนวิชาดาบจากเขา”

แต่คราวนั้น  คราวที่พบมิตรอาวุโส  ไม่เหมือนคราวใด


ท่านสอนบางสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งแก่ข้า  เพราะยามได้พบท่านมิว่าข้าจะท้าประลองหรือแสดงกิริยาใดๆ  ผู้อาวุโสล้วนไร้ปฏิกิริยาตอบ

“มันเป็นครั้งแรกที่พบเจอคนที่ไร้แรงดึงดูดและไร้แรงต้านทาน”

มีเพียงรอยยิ้ม  การเปิดเผย  และการสำรวจอยู่ด้วยการตื่นรู้ของท่าน  ที่ข้ารู้สึกว่าตัวตนของข้าทั้งหมดกำลังถูกดูดกลืนเข้าไปในอ้อมกอดของท่าน  ความรู้สึกที่ตอบรับชีวิตที่ว่า  ท่านยอมรับข้าอย่างที่ข้าเป็นจริงๆ  มันไม่สำคัญเลยว่าข้าจะดีหรือร้าย  มันไม่สำคัญเอาเลยว่าข้าจะสูงส่งหรือต่ำต้อย  ข้ารู้สึกคล้ายมีคนๆ  หนึ่งที่เพียงต้องการเห็นข้ามีความสุข  คนซึ่งยอมรับข้าอย่างปราศจากเงื่อนไขจริงๆ

คนบางคนบนโลกใบนี้  ที่เพียงยอมรับอย่างแท้จริงเขาได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล  คนบางคนนั้นเพียงเปิดโอกาสแก่ข้า  ที่ให้เวลา  และพื้นที่ว่างอย่างไม่จำกัด

ครั้งนั้นข้ารู้สึกถูกสยบจริงๆ  กระบวนยุทธที่ไร้ท่วงท่าของท่านนั้นละเมียดมาก  ดวงตาของข้าเปิดออก  และเริ่มแลเห็นโลกใหม่ข้าเห็นว่าบนโต๊ะอาหารกลางวันนั้นมีดอกไม้ฤดูร้อนวางอยู่ในแก้วชาใส่น้ำ แต่พอดี ดอกไม้สามดอก  ดอกละ 1 ถ้วย  ช่างพิเศษสุด  ที่นั้นข้ารู้สึกถึงความงามอันกลมกลืนของโลกและชีวิต ข้าจึงรู้ว่าข้านั้นอ่อนด้อยและวิชาดาบของข้านั้นไร้พิษสงแท้ๆ

วิชาดาบของมิตรอาวุโสนั้นแปลกมาก  ดาบพิเศษที่ท่านใช้ก็บางเบาแต่คมกริบ  เพียง  3  กระบวนท่าข้าก็รู้ว่าท่านผู้นี้เหนือกว่าข้ามากนัก  มันคล้ายกับว่า  ดาบของท่านเป็นหนึ่งเดียวกับใจ  มันคือ

“วิชาเพลงดาบแห่งใจ”  ที่เคยมีคนร่ำลือกันในยุทธภพแต่ไม่มีผู้ใดเคยได้พบเห็น

แม้ข้าได้เรียนรู้สิ่งนี้กับมิตรอาวุโส  แต่ข้าก็บอกลามาจากสำนักของท่าน  แม้ว่าข้าจะระลึกรู้คุณและมีใจคารวะเพียงใด  แต่ยามที่จิตใจของข้าเปิดออกและตัวตนแผ่ขยายและนั้นมันยากที่คนเราจะมีสังกัดอีก

นักดาบหนุ่ม  แลกเปลี่ยนความรู้สึกกับบุรุษนิรนามว่า  “บางครั้งข้ารู้สึกตนเองเลือกผิดมาตลอด  ทั้งที่ขายไร่นา  รวมถึงการเลือกครูอาจารย์หรือสำนักที่ผิดพลาด  ทำให้ข้าต้องพบกับทุกข์อันใหญ่หลวงนี้”

บุรุษนิรนามตอบเขาว่า  “มันมิใช่การเลือกที่ผิดของเจ้า  บางสิ่งในชีวิตของคนเรา   ที่เราเองก็มิอาจล่วงรู้ได้ทั้งหมด  ทั้งที่กระทำด้วยเจตนาดี  แต่ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ว่า  ถ้าเจ้ามิได้เจอเรื่องราวเช่นนี้  มิได้เจ็บปวดอย่างที่เจ้าประสบ  เจ้าก็จะไม่ได้พบข้า  ถึงแม้เราอาจเดินผ่านกันไปมา  เจ้าก็ย่อมมองไม่เห็นข้าเสียด้วยซ้ำ

เพราะอะไรอย่างนั้นหรือ  มันเป็นวิถีทางเฉกเช่นที่เคยเป็นมาของชีวิตเป็นวิถีทางของผู้เรียนวิชาเพลงดาบแห่งใจ  หนทางที่เจ้าเดินเป็นหนทางที่เจ็บปวดและทุกข์ยากแต่นี่เป็นหนทางเดียวของผู้เรียนวิชานี้  ถ้ามิได้เจ็บปวดเพียงพอ  ตัวตนของเจ้าจะไม่แผ่ขยายออก  จิตใจของเจ้าก็ไม่อาจเปิดรับพอที่จะเรียนรู้สิ่งที่กว้างใหญ่เช่นนี้ได้  เพราะนี้เป็นหนทางที่คนเรามองเห็นโลกและชีวิตต่างไปจากเดิม”

คนที่ประสงค์จะเดินบนเส้นทางนี้จำต้องอดทน  เจ้ารู้ไหม!  ในภาษาจีนคำว่า  “ความอดทน”  ประกอบด้วยตัวอักษร 2 ตัว คือ  คำว่า  มีดและใจ  อันหมายถึง  มีดที่เฉือนเข้าไปในใจ  และเจ้าจึงรู้ซึ้งถึงคำว่า  “อดทน”
มีเพียงศัตรูเท่านั้นที่มอบบทเรียนอันล้ำค่าอย่างนี้ได้และต้องเป็นศัตรูชนิดที่ถอนราก  ตัวตนทั้งหมดของเจ้าเท่านั้น

ศัตรูคือครูของจิตใจอันกรุณา  คนเราสามารถเมตตากรุณาผู้อื่นได้ไม่ยากนักโดยเฉพาะคนๆ นั้นเป็นคนที่เรารักด้วยแล้ว  เช่น  เมตตาต่อ  พ่อแม่  คนในครอบครัว  ครู  อาจารย์หรือเพื่อนฝูง  หรือคนรู้จักแต่ศัตรูเท่านั้นที่มอบบทเรียนของความกรุณาที่แท้จริงให้แก่เจ้าได้  ชะตาชีวิตอันเจ็บปวดเช่นนี้กลับกลายเป็นหนทาง

หนทางในการก้าวถึงอิสรภาพที่แท้จริงแห่งชีวิต  อันวิถีสามัญมิอาจเข้าไปถึง

อิสรภาพที่แท้จริงแห่งชีวิต  อันวิถีสามัญมิอาจเข้าไปถึง

ณ  บัดนี้  ร่างกายและจิตใจของเจ้าพร้อมแล้วที่จะเรียนเพลงดาบแห่งใจ  เพลงดาบนี้มี  9  กระบวนยุทธ  จงปล่อยกายและใจของเจ้าให้ว่าง  เพียงพอที่จะรับรู้สิ่งนี้  เพียงผ่อนคลายและตระหนักรู้เบาๆ  นะ

ไม่มีการมา
ไม่มีการไป
ไม่เหมือน
และไม่แตกต่าง
ไม่ใช่การดำรงอยู่
อีกทั้งไม่ใช่การไม่ดำรงอยู่
ไม่มีการถือกำเนิดขึ้น
และไม่ใช่การดับสูญ

เจ้าหนุ่มเอ๋ย  อาศัย  แปด  กระบวนยุทธนี้และอาวุธดาบไม้ของข้า  เจ้าพร้อมแล้วที่จะกลับไปสู่ที่ที่เจ้าจากมา  แม้ว่าการกลับไปสู่โลกอีกครั้ง  จะเต็มไปด้วยการใส่ร้ายป้ายสีให้เจ้าต้องหม่นหมอง  แต่ด้วยความเข้าใจที่ไปพ้นอัตตาเจ้าย่อมรับมือได้  แม้จะถูกกรุุ้มรุมทำร้ายโดยเหล่าศิษย์ร่วมสำนักอีก  เจ้าย่อมสามารถเอาชนะได้  อย่าโกรธที่คนเหล่านี้คิดว่าเจ้าผิด  พวกเขาก็กระทำเช่นที่เจ้าเคยกระทำในกาลก่อน  ความไม่รู้  และความหมายยึดในทิฐิเป็นสิ่งผลักดันพวกเขา
ให้อภัยแก่คนเหล่านั้น  เหมือนที่เจ้าให้อภัยตนเองได้

แต่หากเจ้าต้องประมือกับอดีตอาจารย์เจ้าสำนัก  เจ้าจักต้องอาศัยอาวุธพิเศษที่ข้าจะมอบแก่เจ้าในภายหลัง

เมื่อชีวิตเป็นอิสระพอ  เจ้าจะเคลื่อนชีวิตจากแกนกลางภายใน  การเปิดเผยของสิ่งที่มีอยู่แล้วทำให้สำนักต่างๆ  บางครั้งกลายเป็นห้องอับๆ  ที่อากาศไม่เพียงพอสำหรับตัวตนใหม่นี้ด้วย  เจ้าอาจต้องโดดเดี่ยวบ้างเพราะการเข้าไปเกี่ยวข้องสมาคมกับผู้คนในสำนักนั้นๆ  บางที่มีแต่การปั้นคำเยินยอกันไปมาของผู้คน  เพื่อบรรเทาความว้าเหว่ของจิตวิญญาณของเขาเหล่านั้น  มันเป็นวิถีทางที่มีคนเดินน้อยและคนส่วนมากมักมองข้ามไป
เส้นทางที่คนเดินน้อย  คือ  การเดินกลับสู่ภายในตนเอง

นักดาบหนุ่ม  พอใจในการเรียนรู้มาก  พลังทางใจของเขาเพิ่มพูนอย่างมาก  ความสุข  สงบ  ในชีวิตกลางป่า  กับการได้ฝึกเรียนรู้  ชายหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตในขณะนี้ช่างเคลื่อนไปอย่างลื่นไหลปราศจากการติดขัดใดๆ  แต่ละวันคือการชำระล้างความติดขัด  ของสิ่งกีดขวางค้างคาใจ  จากวันเคลื่อนผ่านเป็นสัปดาห์  จากสัปดาห์ผ่านไปเป็นแรมเดือน  จากเดือนเคลื่อนสู่ปี  เวลาแห่งความสุขของชีวิตบางชีวิต  บางครั้งผ่านไปเร็วเสียจริงๆ

เช้าวันรุ่งขึ้นนักดาบหนุ่มตื่นเช้าเช่นเคย  แต่เช้าวันนี้แปลกออกไป  ไม่มีกลิ่นควันไฟจากเตาทำอาหาร  บรรยากาศภายนอกกระท่อมก็เงียบมาก เขาเดินออกมาหาเพื่อนผู้ลี้ลับผู้นั้น  แต่ไม่มีใครอยู่เลยที่ลานฝึก  มองไปรอบๆ  ผืนผนังป่าไผ่สีทอง  เขาก็ตระหนักได้ว่า  ขณะนี้เขาอยู่คนเดียวเสียแล้วในที่นั้น  เพื่อนลึกลับได้จากไปแล้ว

แม้ใช้เวลาอยู่ที่กระท่อมกลางป่าต่ออีกหลายวัน  นักดาบหนุ่มค่อยๆ  ทบทวนเรื่องราวชีวิต  ทบทวนสิ่งที่เรียนรู้จากบุรุษนิรนาม  เมื่อคิดได้เขาพลันอุทานกับตนเอง  “เอ๊ะ  นี่เราเรียนไปเพียง  8 กระบวนยุทธนี่  บุรุษนิรนามบอกว่าเพลงดาบแห่งใจมี  9  กระบวนยุทธ  ท่านลืมสอนเราหรือ  อีกทั้งบอกว่าจะมอบอาวุธพิเศษให้ข้าในการต่อกรกับอดีตอาจารย์อีกด้วย  โธ่...  ท่านไม่น่าลืมเลย”  ชายหนุ่มประหลาดใจเมื่อนึกได้  แต่บุรุษนิรนามไม่น่าลืม  เขาทำอะไรรอบคอบและออกจะช้าๆ  ด้วยซ้ำ  ไม่น่าลืม  เขาเดินกลับไปที่กระท่อม  มองเข้าไปบนโต๊ะอาหาร พลันเหลือบเห็นกล่องไม้รูปร่างยาวๆ  วางอยู่  เขารู้สึกแปลกๆ  ว่า “เอ.....  หรือว่ากล่องไม้นี่คลับคล้ายคลับคลาว่าวางอยู่ที่นี่อยู่แล้วนับแต่วันที่ข้ามาถึงนะ  แต่ทำไมข้าจึงไม่สังเกตเห็น  หรือว่าข้ามัวทุกข์ใจจนมองผ่านไป  ใช่แน่ๆ  เลย”

นักดาบหนุ่มจึงตรงเข้าไปเปิดกล่องไม้นั้นดู  ภายในพบจดหมายสีขาววางอยู่  เขาเปิดออกอ่านความว่า

“ลาก่อน  เจ้าหนุ่มน้อย  ในทุกๆ  การพบย่อมมีการลาจาก  สิ่งที่ควรรู้ข้าได้สอนเจ้าไปหมดแล้ว  รักษาตนเองด้วย”

บุรุษนิรนามและสิ่งของที่อยู่ด้วยกันในจดหมาย  ชายหนุ่มประหลาดใจ  ว่าเป็นเพียง  “ดาบกระดาษ”  นี่หรือคืออาวุธพิเศษหรือนี่....  อาวุธพิเศษของมิตรอาวุโส  เมื่อเพ่งพินิจเข้าไปใกล้ๆ  เขาพบว่า  บนดาบกระดาษที่บางเฉียบนั้นเขียนไว้ว่า...

 กระบวนยุทธที่  9  ของเพลงดาบแห่งใจ

“ว่าง....  จากการแบ่งแยก”

หมายเหตุ

เรื่องเล่านี้ผู้เขียนเขียนโดยนำเอาพระสูตรสำคัญในพุทธศาสนานิกายเซนมหานิกายและ วัชรยาน  ชื่อว่า  หฤทัยสูตรโดยนำเอาชื่อ  หฤทัยมาเป็น  เพลงดาบแห่งใจ  เพื่อให้แก่นสาระของ พระสูตรนี้มีชีวิตอีกครั้งผ่านเรื่องราวของผู้คน และโดยนัยยะแฝงบางประการ  ผู้เขียนใช้คำว่า  “ยุทธ”  บ่อยเพราะดำเนินเรื่องอย่าง ชาวยุทธ แต่หากผู้อ่านลองเปลี่ยนคำว่า  ยุทธเป็นพุทธแทนคงได้เรื่องราวชวนคิดไม่น้อยเช่นกัน

ทาสา ชา บ่าว (ผู้เขียน)

http://www.antiwimutti.net/Antiwimutti/mi_phrxm_h_sxbtham_phelng_dab_hng_c.html